All posts tagged: นวพร เรืองสกุล

คุณเมธ์วดี กาญจนจารี นวพันธ์  และมูลนิธิสุขุโม: เงินบริจาคเพื่อการแพทย์ และทัศนศิลป์ 

คณะแพทย์ศาสตร์รามาธิบดี ได้รับเงินทุนหลายร้อยล้านบาทจากมูลนิธิสุขุโม โดยคุณเมธ์วดี นวพันธ์  สำหรับโครงการ Simulation Center และ พิพิธภัณฑ์แห่งปัญญา  เมื่อ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ จึงนำผลงานที่เกิดจากเงินบริจาคก้อนใหญ่นั้น  เปิดให้ผู้แทนของมูลนิธิสุขุโม ได้ชมความคืบหน้า  มูลนิธิสุขุโม สุขุโม  เป็นฉายาของคุณสุขุม นวพันธ์ เมื่ออุปสมบท   แต่คนรุ่นเก่าจะรู้จักชื่อ  คุณสุขุม  ในสองสถานะ คือ เป็นผู้จัดการใหญ่ธนาคารทหารไทย สมัยแรก  และเป็นผู้พัฒนาหมู่บ้านนวธานี  และผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัทเทพธานีกรีฑา ซึ่งทำสนามกอล์ฟ   ส่วนคุณเมธ์วดี  นั้น ดิฉันมีโอกาสพบในคราวเดินทางร่วมไปกับคณะของนายกรัฐมนตรี  พล. อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่นำทีมนักธุรกิจภาคเอกชน จาก ๓ สมาคม ไปยุโรป  ดิฉันไปในนามสมาคมธนาคารไทย ตอนนั้นคุณเมธ์วดี กาญจนจารี เป็นสตรีนักธุรกิจ ทายาทและผู้บริหารบริษัทซิว เนชั่นแนล บริษัทผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่       ปี พ.ศ. 2532 บุคคลสองคนนี้ได้สร้างตำนานรักในห้องเรียน  (เรียน ปรอ. รุ่นแรก ซึ่งเป็นหลักสูตรของ วปอ. ที่ตั้งขี้นมามีนักธุรกิจเอกชนร่วมเรียนกันข้าราชการระดับสูง)  ระหว่างฝ่ายชายวัย 64 กับฝ่ายหญิงวัย 46 เรื่องราวของคุณสุขุม กับคุณเมธ์วดี และมูลนิธิสุขุโม ที่นำมาเรียบเรียงนี้มาจาก การเปิดอ่าน ๆ ๆ ข่าวในอินเทอร์เน็ต  และจากการได้เคยเห็นข้อมูลประวัติจากพิพิธภัณฑ์สุขุโม    มูลนิธิสุขุโม ตั้งเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว  มีกิจกรรมหลัก ๒ ด้าน คือ  ๑. ให้เงินเพื่อการศึกษา   ตั้งแต่ให้ทุนการศึกษานักเรียน  จนถึงทุนวิจัยระดับสูง     ๒. พิพิธภัณฑ์มูลนิธิสุขุโม  ซึ่งเปิดเมื่อปี ๒๕๖๒ นี้เอง  โดยมีอดีตนายกรัฐมนตรี ชวน หลีกภัยเป็นประธานในพิธีเปิด   พิพิธภัณฑ์นี้ไม่เปิดเป็นการทั่วไป  แต่เปิดให้ผู้สนใจเข้าชมตามที่มีการนัดหมายล่วงหน้า ดิฉันได้มีโอกาสไปชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ในคณะของผู้บริหาร คณะแพทย์ศาสตร์รามาธิบดี เมื่อ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๓ ที่จำได้ก็คือ ห้องหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ แสดงกิจกรรมของมูลนิธิ  ประวัติและความสนใจของคุณสุขุม และคุณเมธ์วดี     object museum  ของสะสมของคุณสุขุม   art gallery แสดงภาพวาดฝีมือคุณเมธ์วดี   ได้เรียนรู้จากห้องประวัติว่า   คุณเมธ์วดี จบกฎหมายจากประเทศอังกฤษ ระหว่างเป็นนักเรียนเคยวาดภาพได้รางวัล  การวาดภาพเป็นส่วนหนึ่งที่คุณเมธ์วดีทำเรื่อยมาด้วยใจรัก   ปลายปี ๒๕๖๒ คุณสุขุมถึงแก่กรรม   มูลนิธิสุขุโม ได้รับโอนหุ้นบริษัทเทพธานีกรีฑา จากคุณสุขุม  มาเป็นเงินทุนของมูลนิธิ ทำให้มูลนิธิเป็นผู้ถือหุ้นข้างมากในบริษัท   เมื่อกล่าวถึงมูลนิธิแล้ว  นอกจากมูลนิธิสุขุโม  คุณเมธ์วดีเป็นประธานมูลนิธิสวิตาด้วย ซึ่งจากเนื้อข่าวคะเนได้ว่า เป็นมูลนิธิของฝ่ายกาญจนจารี  เงินของมูลนิธิสวิตา เท่าที่เป็นข่าวคือ สนับสนุนทุนวิจัยด้านเทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์ชีวภาพ  ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  ในช่วงปี ๒๕๖๓ เป็นต้นมา  คุณเมธ์วดี ในนามมูลนิธิสุขุโม มอบเงินบริจาคให้กับมูลนิธิรามาธิบดีหลายครั้ง   ในโครงการ  Brain Bank  โครงการ Simulation Center   โครงการรถซิมเคลื่อนที่ และโครงการพิพิธภัณฑ์แห่งปัญญา   ความสนใจในงานศิลปะของคุณเมธ์วดี และวัตถุประสงค์ของพิพิธภัณฑ์ที่จะตั้งขึ้น น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ได้รับเงินอุปถัมภ์ เพราะพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ส่วนหลักเบื้องต้นคือจัดแสดงงานศิลปะในส่วนของ “องค์จักรีนฤบดินทร์บันดาลใจ”   สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ …

Good Walk Forum: เมืองภูมิภาคคืออนาคต

เมืองภูมิภาคคืออนาคตไทย  พัฒนาเมืองให้เดินได้ อยู่ดี มีงานทำ  ๑.  กำหนดขอบเขตพื้นที่ในภาพกว้าง    เรามักใช้คำว่า “ต่างจังหวัด” หมายถึงเมืองอื่นๆ ที่ไม่ใช่กรุงเทพฯ แต่ถ้าคิดใหม่ตามรูปศัพท์ “ต่าง”  คือ ต่างจากจังหวัดที่ตนอยู่   คือทุกจังหวัดก็เป็นต่างจังหวัดของกันและกัน โดยมีกรุงเทพฯ​ เป็นเมืองหลวง   ลองขีดเส้นรอบวง ที่มีจังหวัดของตนเป็นศูนย์กลาง ใช้รัศมี ๑๐๐ กิโลเมตร แล้วดูว่า กินพื้นที่ไปถึงไหน  คิดแบบนี้ก็จะทะลุกรอบความคิดเดิมที่จำกัดเอาไว้  ได้เห็นมุมมองใหม่และโอกาสใหม่ๆ ในการมองว่า “จังหวัดของเราคือศูนย์กลาง“ กรณีเมืองที่เหลื่อมทับกันบางส่วน   ควรจะตกลงวางแผนบ้างด้านร่วมกัน คิดประชาสัมพันธ์ร่วมกัน มีสิ่งที่เสริมกัน ไม่ใช่ซ้ำซ้อนกัน ซึ่งจะเป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้คนได้แรงขึ้น (นึกถึงขอนแก่นกับอุดร ที่มีเอกลักษณ์ต่างกัน  เป็นเสมือนเมืองแฝด) ต่อจากนั้นจึงกำหนดใจกลางของเมือง  ซึ่งเป็นศูนย์กลางกิจกรรม ฯลฯ ที่ทุกคนเข้าถึงได้โดยสะดวก ด้วยการเดินให้มาก ใช้รถยนต์ซึ่งเปลืองที่จอดรถให้น้อย    ๒.  สร้างอัตลักษณ์ให้กับเมือง   (identity)     ก. สำรวจศิลปวัฒนธรรม หรือศักยภาพต่างๆ ที่มีอยู่ ปัดฝุ่น ปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ  ให้มีพื้นที่อยู่ในวิถีชีวิตปกติของเมือง   เช่น เมืองโบราณสถาน   ศิลปประดิษฐ์ต่างๆ ที่ยกระดับให้เป็นงานฝีมือประณีต    เปิดพื้นที่สำหรับกิจกรรมเฉพาะกิจ ให้ผู้มาเยือนสนใจมาลอง เช่น  วัดอรุณ วัดไชยวัฒนาราม  ผู้ชมแต่งกายย้อนยุค  ซึ่งอาจเสริมด้วยเรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับวัฒนธรรมอาหาร และการละเล่นแบบบ้านๆ เพิ่มขึ้นได้อีก    ในจีน  มีการแต่งชุดสวยๆ ยุคต่างๆ หรือชนเผ่าต่างๆ เดินเล่น หรือในทิเบตมีการร้องรำทำเพลงง่ายๆ ที่ทุกคนทำได้  เป็นกิจกรรมรื่นเริงร่วมกัน ซึ่งทำได้ทุกสัปดาห์   ของเราในแต่ละจังหวัดนอกกรุงเทพฯ  ก็มีการแต่งกายพื้นเมืองอยู่แล้วทุกวันศุกร์ อาจเพิ่มการรำของท้องถิ่น หรือรำวงเข้าไปด้วยในกิจกรรม  จ้างนักเรียนนักศึกษามารำนำ ก็จะเป็นการเพิ่มรายได้ให้นักเรียนอีกด้านหนึ่งด้วย นอกเหนือจากการได้เก็บรักษาวัฒนธรรมพื้นบ้านของท้องถิ่นเอาไว้และสืบทอดต่อไป      ข.  สร้างเอกลักษณ์ใหม่ กิจกรรมใหม่ เพิ่มขึ้น  เช่น   บุรีรัมย์ สร้างเวทีสำหรับกิจกรรมด้านกีฬาเกี่ยวกับรถ  ซึ่งเมืองอื่นๆ อาจสร้างกิจกรรมกลางแจ้งแบบอื่นๆ เช่น ปีนหน้าผา เดินป่า ลานสเก็ต  เล่นกีฬาทางน้ำ เป็นต้น   เชียงราย  สร้างวัดเป็นศิลปะยุคใหม่ที่แปลกตา กลายเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญจุดหนึ่งของเมือง   กระบี่ เริ่มให้ความสนใจกับประติมากรรมกลางแจ้ง   ค.  สร้างอัตลักษณ์ด้วยชุมชนคนมีทักษะเฉพาะทาง  เช่น  เทียนจิน มีย่านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ซึ่งกิจการขนาดเล็กอาจจะมาอยู่ร่วมกันแบบที่แต่ก่อนในเมืองไทยก็มีย่าน เช่น ถนนวัวลายที่เชียงใหม่ ทำเครื่องเงิน  สุรินทร์ มีหมู่บ้านทำเครื่องเงินประดับ โคราชมีผ้าไหมปักธงไชย กรุงเทพฯ มีบ้านบุ บ้านบาตร บ้านหม้อ เป็นต้น  ในอยุธยาสมัยก่อนก็เช่นกัน (ดูได้จากเรื่องบุพเพสันนิวาส)  กิจกรรมเหล่านี้ ถ้าสร้างสภาพโดยรอบให้เอื้ออำนวย (เรียกกันว่า ecosystem)  ก็จะมีแรงดึงดูดคนในอาชีพนั้นๆ เข้ามายิ่งขึ้น  และต่อยอดไปได้อีกหลายทาง ตามความถนัดหรือความสนใจของคนในพื้นที่ ที่อาจจะต้องการแรงกระตุ้นบ้าง ในเรื่องคน ความคิด หรือเงิน สนับสนุน   ๓. “ลูกค้า และ “บริการ”    “ลูกค้า”   กับ  “บริการ”  เป็นพลวัตที่ตอบสนองกันและกัน และทำให้พื้นที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดคนด้านต่างๆ ที่มุ่งเป้าได้มากยิ่งขึ้น​      ก. ลูกค้า กลุ่มลูกค้าตามภูมิศาสตร์  เช่น  บางจังหวัดอยู่ใกล้ลาว บางจังหวัดอยู่ใกล้พม่า-จีน  หรือเพื่อนบ้านอื่นๆ  …

SEC and SET joint press conference 2023 11 9: ก.ล.ต. กับ ตลท. พร้อมใจกันยัน

ฉากหลังด้านการเมืองช่วง พ.ย. 2566 หลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ 2022 05 14 ประเทศไทยได้นายกรัฐมนตรี ต่อจาก พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ชื่อ เศรษฐา ทวีสิน นักธุรกิจที่เติบโตมาจากภาคอสังหาริมทรัพย์ จากพรรคเพื่อไทย ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามมติรัฐสภาเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 นโยบายหลักที่ได้รับคำวิจารณ์ว่าไม่เห็นด้วยอย่างกว้างขวาง จากนักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์สายการเงิน รวมทั้งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยทั้งอดีตและปัจจุบันคือเรื่องจะทำตามนโยบายที่หาเสียงเอาไว้ว่า จะแจกเงินให้กับประชาชนทั่วไป เป็น digital wallet โดยไม่ระบุที่มาของวิธีการจะทำให้เงินใหม่นี้เป็นที่น่าเชื่อถือและยอมรับ ได้ยินแต่ข่าวทางอ้อม ซึ่งวิเคราะห์กันว่านโยบาย และการทำให้เงินรุ่นนี้เป็นที่น่าเชื่อถือ จะเป็นภาระหนี้ของประเทศทางหนึ่งทางใดอย่างแน่นอน และไม่แน่ใจว่าจะออกเงินดิจิทัลต่างหากทำไม (ไม่ใช่ดิจิทัลบาทของทางการที่อยู่ระหว่างศึกษา) แต่นายกฯ ที่ควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็ยังโยนหินถามทางอยู่เรื่อยๆ แถลงข่าว และความเห็น ๙ พ.ย. สององค์กรในตลาดทุน ออกมาแถลงข่าวพร้อมกัน หลังตลาดปิดวันพฤหัสฯ  สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ใครสั่ง หรือว่าสถานการณ์คับขันถึงขั้นต้องออกมาปลอบใจนักเล่นหุ้น   แถลงอะไรกัน ต่อไปนี้คัดบางส่วนมาจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์  แล้วเทียบเคียงกับ Post Today   ได้ความมาอย่างนี้ – หุ้นตก ๒๒ จุด สององค์กรออกมาร่วมกันแถลงว่า ข่าวว่านักลงทุนต่างชาติชอร์ตเซล และทำโปรแกรมเทรดดิ้งกันมาก  ไม่จริ๊ง  ไม่จริง เข้าใจกันผิด   ทุกอย่างปกติ  [๒๒ จุด ไม่มากหรอกเมื่อคิดเป็น % จากดัชนีประมาณ  ๑,๔๐๐ จุด แต่ไม่ปกติตรงที่ทำไมตกใจถึงขั้นออกมานั่งแถลงข่าว] – ตลท. (ผู้จัดการ) “ตลาดไทยปีนี้ลงมากกว่าตลาดอื่นๆ  ส่วนปีที่แล้ว (2565) ตลาดไทยลงน้อยกว่าตลาดอื่น  และตอนนี้หุ้นไทยยังลงอย่างต่อเนื่อง  เป็นคำถามที่ต้องดูว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ คือตัว Leading Indicator [ตัวชี้นำ]​ ของอะไร  ต้องบอกว่าเป็นเศรษฐกิจในประเทศ” [ไหนหาเสียงกันว่าที่ผ่านๆ มา เมืองไทย แย่ แย่ แย่   ตลาดหุ้นกลับเห็นว่าดี   ตอนนี้นายกฯบอกว่าเศรษฐกิจดีขึ้น หุ้นยิ่งตก ตก ตก]  “ถ้าต่างชาติมองว่าเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้น ก็จะ..ต้องการเข้ามาลงทุนในประเทศต่อ   ตอนนี้ทำไมเขามอง..ว่าดัชนีจะไม่ขึ้น ทั้งที่บริษัทจดทะเบียนของไทยยังมีความสามารถในการทำกำไรได้”  [นั่นสิ ทำไม?]  “ก.ล.ต. (เลขาธิการ)  “จุดแข็งตลาดทุนไทยคือเรามี บจ.ที่ทำเรื่อง ESG [Environmental Society Governance]  ดี ๆ ค่อนข้างมาก   มีระบบ CG [corporate governance – บรรษัทภิบาล] ในระดับสูง น่าจะช่วยดึงดูงต่างชาติที่สนใจเรื่อง Green [เรื่องลดการสร้างมลภาวะที่ทำให้โลกร้อน] และธรรมาภิบาล   ก.ล.ต.จะยกระดับเรื่อง One-Report [เป็น Financial Report รูปแบบใหม่ ที่รวมผลลัพธ์ของการกระทำสิ่งต่างๆ เพื่อส่วนรวม และคำนึงถึงผลกระทบในวงกว้างของการกระทำบริษัท เอามา incorporate ร่วมด้วยในรายงานทางการเงิน]   เพื่อให้เข้าไปอยู่ในความสนใจของ Green Investor ให้ได้   และขอให้อย่านำความเชื่อที่ไม่มีข้อมูลมาทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในตลาดทุน” – ก.ล.ต. “มีหลายปัจจัยลบที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นร่วงลงไปอย่างมาก แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นปัจจัยที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นทั่วโลก ขณะที่ต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยในอดีตเคยเป็นนักลงทุนระยะยาว แต่ปัจจัยโลกเปลี่ยนไป การเข้า-ออกเร็วขึ้น เป็นบทบาทที่เราจะต้องดึงเงินลงทุนต่างชาติให้อยู่ยาวขึ้น” [กำลังแย้มว่าจะออกมาตรการอะไรหรือคะ  แบบนี้เข้าข่ายพยายามปั่นหุ้นหรือเปล่า และทุนที่เข้าๆ ออกๆ นี่ ทำไมเขามา และทำไมเขาไป​ เรารู้จักธรรมชาติของเงินที่มาๆ ไปๆ พอหรือเปล่า]    “เราคาดหวังว่าปัจจัยบวกในเชิงนโยบายของรัฐบาลจะสร้างความมั่นใจให้กลับมาได้ ทำให้เรามี …

A Dhamma Verse (3/3) พุทธชัยมงคลคาถา (คาถาพาหุง) สำนวนตีความและวิเคราะห์ข้อความพร้อมภาพประกอบ (๓/๓)

ไตรลักษณ์ ได้แก่  อนิจจัง ทุกขัง  และ อนัตตา เป็นลักษณะสามัญของสิ่งทั้งปวง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “อนัตตา” เป็นเรื่องที่พิเศษสำหรับพระพุทธศาสนา   ท่านอาจารย์เจ้าคุณวัดโสมนัสฯ  เคยบรรยายธรรมให้ฟังง่ายๆ ว่า  “เรามองไม่เห็นอนัตตา เพราะถูกบังด้วย  aggregate”   (ภาพรวม ความเป็นกลุ่มเป็นก้อน)  และ “เรามองไม่เห็นอนิจจัง (ความไม่เที่ยง) เพราะถูกบังด้วยสันตติ”   (continuity – ความต่อเนื่อง)  เราไม่เห็นความไม่เที่ยง ก็เพราะมีการเกิดการดับต่อเนื่องไปไม่เว้นระยะ  และเราไม่เห็นความไม่ใช่ตัวใช่ตน เพราะสิ่งที่มีตัวมีตนนั้น มีส่วนย่อยต่างๆ สนธิกันแนบแน่นเป็นเนื้อเดียว แยกย่อยได้ยาก คาถาพาหุง คาถาที่ ๖   สมมติ นักศึกษาอภิธรรม ถ้าไม่มัวแต่ท่องคงคิดได้ทันทีเลยว่า ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตน  เพราะอภิธรรมจะแยกรูป แยกนาม ออกไปเป็นช้ินส่วนยิบย่อยลงไปจนไม่เหลือตัวตนใด เรื่องของอนัตตา เป็นหัวข้อธรรมที่พระพุทธเจ้าสนทนากับพราหมณ์ และเหล่านักคิดทั่วๆ ไป ที่มีความเห็นว่าโลกนี้มีอัตตา (ตัวตน)  และตัวตนที่ยิ่งใหญ่คือพระเจ้าของลัทธินั้นๆ นั่นเอง ถ้าจำพุทธประวัติได้   พระโกณฑัญญะ ปัญจวัคคีย์คนแรกที่บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ก็เมื่อได้ฟังพระสูตรว่าด้วย “อนัตตลักขณะ”  คาถาที่ ๖  เป็นบทถาม-ตอบ ระหว่างสัจจกะ นักวิชาการคนดังในราชสำนักแคว้นวัชชี   กับพระพุทธเจ้า ว่าด้วย อัตตา –  อนัตตา และสรุปว่าพระพุทธเจ้าได้ชัยชนะด้วยปัญญา เป็นพระปัญญาที่เห็นอนัตตา  แต่ว่าไม่ใช่ชนะแล้ว สัจจกะจะรับนับถือพระธรรมของพระพุทธเจ้า  สัจจกะเพียงชอบโต้วาที  ฟังจบแล้ว รับว่าคำอธิบายของพระพุทธเจ้าสมเหตุสมผล แต่ตนก็ยังคงยืดถือตามเดิมของตนต่อไป  ในมิลินทปัญหา ก็มีคำถามและคำตอบว่าด้วย “อนัตตา”  คือตอนที่พระนาคเสนถามว่า พระเจ้ามิลินท์เสด็จมาอย่างไร เมื่อได้รับคำตอบว่ามาด้วย “รถ”   พระนาคเสนก็ย้อนถามว่า ตรงไหนล่ะ ที่เรียกว่ารถ   ล้อหรือ กงล้อหรือ  คานหรือ    นั่นก็คือชิ้นส่วนย่อยๆ ประกอบรวมๆ กันเข้าในแบบหนึ่ง จึงเป็นสิ่งที่เราสมมติเรียกว่ารถ    ถ้าดูหนังสงคราม เห็นรถถังนอนแอ้งแม้ง หมดสภาพอยู่ บางคันชิ้นส่วนก็ยับเยินกระจัดกระจาย  ตรงไหนล่ะ ที่เรียกว่ารถถัง  นี่คือ aggregate ที่ปิดบังความใช่ตัว ใช่ตนเอาไว้  ให้เราติดอยู่ในภาพใหญ่ว่า นี่คือตัวเรา แต่แยกย่อยลงไปแล้ว ไม่มีอะไรที่เรียกได้ว่า เป็นตัวเรา  คนที่เรียนวิทยาศาสตร์มา จะเข้าใจได้ เมื่อนึกถึงอะตอม ที่โปรตอน อิเล็กตรอน เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา และวัตถุสิ่งของต่างๆ ล้วนประกอบไปด้วยอะตอม ชีววิทยาสำหรับเด็กบอกว่า เซลล์ในร่างกายคนมี ๓๐ ทริลเลียนเซลล์ (๓ ล้านล้าน)  เซลล์เหล่านี้เกิดขึ้น เปลี่ยนแปลง ดับไป แล้วเกิดใหม่อยู่ตลอดเวลา ไม่คงทนชั่วชีวิตของตัวคน ไม่มีตรงไหนที่เป็นตัวเรา มีแต่เซลล์ มีแต่ภาพรวมเท่านั้นที่ประกอบแล้วเป็นเรา   แต่เพราะเราเห็นตัวเรายังเดิน ยังวิ่งได้ ในภาพรวม  เราจึงมองไม่ออก ในระยะเวลาเป็นนาที เป็นชั่วโมง กระทั่งเป็นวันๆ  ว่าตัวเราเปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่คนเดิม   ต้องใช้เวลาหลายปีจึงมองออก เช่น ไม่เห็นเด็กเล็กหลายปี จึงทักว่าโตขึ้น   ไม่เห็นหน้าเพื่อนหลายปี จึงมองออกว่าแก่ลง  เป็นต้น      เราอยู่กับสมมติตลอดเวลา จนยึดติดไว้แนบแน่น   สิ่งที่จำเป็นเพื่อรู้เท่า คือรู้ว่าเป็นสมมติ ไม่ยึดติดกับสมมติว่าเป็นสิ่งจริงและเที่ยงแท้แน่นอนเสมอไป   ฟังได้ แต่เข้าใจยาก คาถาพาหุง คาถาที่  ๗ ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้.. ต้องยอม  ที่มาของคาถาบทนี้อยู่ในอรรถกถา ของเถรคาถา ส่วนของพระโมคคัลลานะ  เรื่องราวน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าที่ยอดฝีมือในยุทธจักรสู้กันในหนังกำลังภายในเสียอีก    คำสวดสรรเสริญพระพุทธคุณตอนหนึ่ง …

A Dhamma Verse (2/3) พุทธชัยมงคลคาถา (คาถาพาหุง) สำนวนตีความและวิเคราะห์ข้อความพร้อมภาพประกอบ (๒/๓)

คาถาพาหุง คาถาที่ ๓ น้ำใสเย็นแห่งเมตตาดับร้อนได้ **พญาช้างแปร๋แปร๋นเข้าใส่ราวกับไฟป่า หรือจักราวุธอันแรงร้อน  พระจอมมุนีทรงหยุดความร้อนด้วยน้ำแห่งพระเมตตา**  แยกแยะองค์ประกอบของเรื่องราวในชาดกตอนนี้  ได้เป็น ๔ ตอน ๑.  เหตุไกล  ว่าด้วยพระเทวทัตต์ ที่คิดร้ายด้วยจิตริษยา ในลาภ ยศ สรรเสริญ ที่พระญาติสนิทได้รับ จึงคิดทำร้ายด้วยประการต่างๆ  ๒.​ เหตุใกล้  พระเทวทัตต์ทำให้ช้างนาฬาคีรีเมาเหล้า แล้วทำร้ายให้ช้างบาดเจ็บ ก่อนจะปล่อยออกมาอาละวาดในทิศทางที่พระพุทธเจ้ากำลังเสด็จผ่านมา ๓. เหตุเฉพาะหน้า  ช้างเมากำลังทำร้ายผู้คน  เมื่อดื่มสุราและเมรัย (สมัยนี้ก็รวมสารเสพติดอื่นๆ ด้วย)  เกินขนาดก็เมาจนขาดสติ   ผิดศีลข้อ ๕ กำลังจะพาช้างให้ผิดศีลข้อ ๑  (ปาณาติบาต ฆ่าคน)     ๔. วิธีแก้ปัญหา    เมตตาจิตคือเครื่องมือ  น้ำใสเย็นแห่งเมตตาที่แผ่ออกไป ดับร้อนได้ ถ้าไม่ติดอยู่กับเหตุทั้งไกล หรือใกล้ หรือกระทั่งสาเหตุแห่งปัญหาเฉพาะหน้าในเวลานั้น  เครื่องมือ (หรือข้อธรรมะ) ที่ยกขึ้นมาใช้เพื่อแก้ปัญหาแต่ละเรื่อง เป็นบทเรียนที่มีประโยชน์ใหญ่ ใช้ได้ทั่วไป ในประสบการณ์ของตนเองในวัยทีน  มีน้องชายวัย ๕ ขวบ  กำลังทั้งดื้อทั้งซน วันหนึ่งน้องเล่นของเกลื่อนกลาด พี่สาวก็เลยบังคับน้องให้เก็บเข้าที่   สั่งก็แล้ว ดุก็แล้ว ขู่ก็แล้ว กระทั่งลงไม้ลงมือเล็กๆ ตามประสาพี่สาวใจร้อน กับน้องชายจอมดื้อ  เขาร้องไห้แต่ปักหลักนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ยอมเขยื้อน    แม่คงเห็นท่าไม่เป็นการ ก็เลยเข้ามาแทรก แม่นั่งลงพูดกับเขานิดเดียวเอง  เขาก็ลุกขึ้น เก็บของทั้งหมด   “สำหรับน้องคนนี้ใช้พระเดชไม่ได้ จะให้ทำอะไรก็พูดกับเขาดีๆ เอาน้ำเย็นเข้าลูบได้ผล กว่า” แม่สอน ดิฉันนึกถึง นิทานอีสปเรื่องโคนันทวิศาล (มีเรื่องทำนองเดียวกันในชาดกด้วย)  ดุด่า => ไม่ทำ    พูดดีๆ ด้วยปิยวาจา => ทำให้สุดแรงเลย   “คนพวกหนึ่งย่อมฝึกช้างม้า โดยใช้ท่อนไม้บ้างใช้ขอบ้าง ใช้แซ่บ้าง  สมเด็จพระพุทธเจ้าผู้แสวงพระคุณใหญ่ทรงหยุดช้างโดยไม่ต้องใช้ท่อนไม้ ไม่ต้องใช้ศัตราวุธ”  ทรงใช้พระเมตตา (และปิยวาจา)  ปิยวาจา = วาจาสุภาพ อ่อนหวาน สมานสามัคคี  วาจาให้เกิดไมตรีและความรักใคร่นับถือ  ตลอดถึงวาจาที่แสดงประโยชน์ประกอบด้วยเหตุผลเป็นหลักเป็นฐาน ผู้ฟังฟังแล้วนิยมยินดี คนที่กล่าววาจาลักษณะนี้ได้น่าจะต้องมีใจที่มีเมตตา  “นาฬาคีรีเอ๋ยเขามอมเหล้าเจ้าก็เพื่อประสงค์จะให้ทำร้ายเรา   อย่าเที่ยวอาละวาดคนอื่นโดยใช่เหตุเลยจงมานี่เถิด” เสียงนุ่มนวลไพเราะทำให้ช้างกลับคืนสติขึ้นมาได้  สร่างเมาหูลู่งวงตกเดินเข้าไปหมอบแทบพระบาทของพระพุทธองค์ พระพุทธเจ้าทรงเอ่ยปิยวาจาชี้แจงให้เห็นโทษของการทำร้ายผู้อื่น “ดูก่อน กุญชร การฆ่าจากชาตินี้ไปสู่ชาติหน้าไม่มีสุคติเลย  เจ้าอย่าเมาอย่าประมาทก็จะทำเหตุให้ไปสู่สุคติได้”   คาถาพาหุง คาถาที่ ๔ คนไร้กัลยาณมิตร  ทุกคนน่าจะเคยได้ยินมาแล้วจากทางต่างๆ ว่าองคุลิมาลคือโจรร้าย ไล่ฆ่าคน แล้วเอานิ้วของผู้ที่ตนฆ่ามาร้อยเป็นพวงมาลัยสวมไว้ เพื่อจะนับคนให้ครบพัน ตามที่อาจารย์สั่งมา เพื่อเรียนสุดยอดวิชาขั้นสุดท้าย นักศึกษาฉลาดอย่างอหิงสกะ บุตรปุโรหิต ทำไมเชื่ออาจารย์อย่างนั้น     แต่ก่อนเราคงสงสัยมาก  แต่อาจจะสิ้นสงสัยเมื่อเห็น “สาวก” หนุ่มสาวของ “ศาสดา” ทางการเมือง เชื่อและติดตามผู้นำอย่างที่คนบางคนว่าไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง แต่ตัวผู้ตามเชื่อมั่นเต็มที่ว่าเส้นทางของเขาถูกต้อง    จุดหักเหของเรื่องในตอนแรก คือมีอาจารย์ขี้ระแวง และเพื่อนร่วมสำนักท่ีประสงค์ร้าย  ปั้นความเท็จจนทำให้เด็กดีกลายเป็นฆาตกร    จุดหักเหในตอนหลังคือ  โจรร้ายได้พบพระพุทธเจ้า  การพบครั้งนี้  ไม่ใช่เรื่องบังเอิญในฝ่ายของพระพุทธเจ้า แต่เป็นการออกแบบโดยเจตนา ที่ประกอบด้วยเมตตากรุณา เพื่อหยุดนักฆ่ามิให้ฆ่าคนอีกต่อไป  ซึ่งกรรมที่กระทำต่อไปจะยิ่งหนักจนแก้ไม่หลุด ถ้าฆ่าพ่อฆ่าแม่ของตนเอง      เขาวิ่งไล่ตามเพื่อฆ่าคนที่หนึ่งพันตามที่นับนิ้วเอาไว้ แต่วิ่งอย่างไรก็ไม่ทัน  จึงร้องเรียกให้พระพุทธเจ้าหยุด   พระพุทธเจ้าตอบว่า “เราหยุดแล้ว  ท่านล่ะ จงหยุดเถิด”  พระพุทธเจ้าทรงแปลงความหมายของ กริยา “หยุด”  ที่องคุลิมาลกล่าว   …

A Dhamma Verse (1/3) พุทธชัยมงคลคาถา (คาถาพาหุง) สำนวนตีความและวิเคราะห์ข้อความพร้อมภาพประกอบ (๑/๓)

พุทธชัยมงคลคาถา เล่าอะไร  พระพุทธเจ้า ทรงมีปกติวิสัย ใชัเมตตา กรุณา และปัญญา  ในการกระทำทั้งปวง   ชาวเราท่องคาถาพาหุงฯ ก็เพื่อช่วยให้ตั้งสติ  ใช้เมตตากรุณานำ แล้วใช้ปัญญาเลือกประยุกต์ใช้คาถาแต่ละข้อ ให้ ถูกคน..​ ถูกเวลา…​    ครั้งนี้ขอเล่าเรื่องราวจากพุทธชัยมงคลคาถา ๘ บท นอกจารีตของการเล่า คือมุ่งมองข้อธรรม ที่คิดว่าผู้แต่งคาถาพาหุงฯ คัดสรรมาเพื่อสื่อ ได้ฝึกปัญญาเพื่อความรู้ธรรมให้ลึกมากขึ้นแบบของตนเอง และขอเผื่อแผ่ผู้อ่านมาพร้อมนี้ ภาพประกอบในเรื่องนี้เป็น AI art สั่งวาดด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ Discord ของ Midjourney  และ DALL-E 3 ของ ChatGPT Plus   สารบัญ ภาคความเป็นมา  คาถาทึ่  ๑.  เริ่มในวันตรัสรู้  ซึ่งก่อนจะตรัสรู้ มีพระยามารมาผจญ   คาถาที่  ๒. พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร  คือบทที่ตอบคำถามอาฬวกยักษ์ ถึงหนทางเพื่อข้ามห้วงมหรรณพ (วัฏฏสงสาร) ภาคปฏิบัติ คาถาที่ ๓.  ทรงแผ่เมตตา แบบ “สัพเพ สัตตา อเวราโหนตุฯ”  สยบความพลุ่งพล่านของสัตว์ที่กำลังเจ็บ และมีนเมาขาดสติ      คาถาที่ ๔. กรุณาธิคุณ ต่อผู้ที่กำลังมัวเมา ลุ่มหลง  กำลังจะก้าวพลาดไปทำอนันตริยกรรม ฆ่ามารดาตนเอง ให้เปลี่ยนใจหันเหสู่ทางแห่งอริยะ คาถาที่ ๕.  วาจาสัจจ์   แสดงโทษของมุสาวาจา ว่าเป็นกรรมอันร้ายแรง และเรื่องของกาม ที่ปุถุชนมักถอนได้ยาก  ทำให้ไม่อาจก้าวพ้นกามภพได้  (พระอนาคามี ผู้ไม่มาเกิดในกามภพ) ภาคทฤษฏี แสดงแก่นของโลก คือไตรลักษณ์ คาถาที่ ๖. อนัตตา  ทุกอย่างที่เห็นและยึดไว้คือสมมติ  เนื้อแท้ของสิ่งต่างๆ คือธาตุที่ประกอบกันขึ้น จึงมีตัวตน มีสิ่งของ  คาถาที่ ๗. ทุกขัง สภาวะอันทนอยู่ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนแปลง อันนี้เอาเรื่องนาคราชที่ทนอยู่ในอิริยาบถเดิมไม่ได้ เพราะถูกรบกวน  มาเป็นอุปมา คาถาที่ ๘. อนิจจัง  “ธรรมคืออนิจจตา ความไม่เที่ยง  เป็นธรรมของชาวโลกทั้งหมด รวมทั้งเทวโลก”    แสดงด้วยเรื่องราวของพรหม ใน​ห้วงเวลาอันยาวนาน จนเกินความรับรู้ส่วนบุคคล เห็นแต่ผู้อื่นเกิดขึ้น และดับไป   ทำให้หลงคิดว่าสิ่งที่ตนเป็นอยู่นั้นคงที่ถาวร ไม่เคยเปลี่ยน และจะไม่เปลี่ยน  อนิจจัง เป็นธรรมคือธรรมชาติของพรหมโลก เช่นกัน คาถาพาหุง คาถาที่ ๑  ธรณีนี่นี้เป็นพยาน…. ธรณี หรือแผ่นดินในคติของชาติต่างๆ   เป็นเพศหญิง    ในคติของจีน แผ่นดินเป็นแม่  ฟ้าเป็นพ่อ ในเทพปกรณัมของฝรั่งตะวันตกมี Gaia มารดาแห่งโลก  นักภูมิศาสตร์ใช้เป็นชื่อแผ่นดินใหญ่ผืนดั้งเดิมของโลก  น้ำกับดินแนบแน่นกันมาก เป็นส่วนผสมที่สร้างคุณสมบัติอ่อนกับแข็ง น้ำนุ่มนวลเอิบอาบ  ถ้าไร้น้ำ  ดินจะแห้ง จนเป็นดินทราย     พระโพธิสัตว์ทรงอ้างพระแม่ธรณีเป็นพยานในเย็นวันก่อนตรัสรู้ ดังความจากหนังสือ “ตำนานพระพุทธรูปปางต่าง ๆ”  นิพนธ์ของ พระพิมลธรรม ราชบัณฑิต (ชอบ อนุจารีมหาเถร) ตอนผจญมารว่า   “ดูกรพญามาร บัลลังก์แก้วนี้เกิดขึ้นด้วยบุญของอาตมะ ที่ได้บำเพ็ญมาแต่อสังเขยยกัปป์จะนับจะประมาณมิได้ ดังนั้นอาตมะผู้เดียวเท่านั้นสมควรจะนั่ง ผู้อื่นไม่สมควรเลย” วัสวดีมารให้พระโพธิสัตว์หาพยานมายืนยัน  พระโพธิสัตว์ทรงอ้างพระธรณีเป็นพยาน   นางวสุนธรา เจ้าแม่ธรณี ปรากฏกายทำอัญชลีถวายอภิวาทแล้วเปล่งวาจาประกาศให้พญามารทราบว่า พระมหาบุรุษได้บำเพ็ญบุญกุศลมามากมายเหลือที่จะนับ  เพียงน้ำกรวดที่ข้าพเจ้าเอามวยผมรองรับไว้บนเศียรเกล้า ก็มีมากพอจะถือเอาเป็นหลักฐานได้  นางวสุนธรากล่าวแล้ว ก็บรรจงหัตถ์อันงามปล่อยมวยผม บีบน้ำกรวดที่สะสมไว้ แต่เอนกชาติ ให้ไหลออกมาเป็นทะเลหลวง ท่วมทับเสนามารทั้งปวงจมลงวอดวาย กำลังน้ำได้ซัดช้างคีรีเมขล์ ให้ถอยร่นไปติดขอบจักรวาล พระโพธิส้ตว์เอาชนะด้วยไตรทศบารมี (คือบารมี …

เรื่องชุด การเมืองไทยหลัง ๑๔ ตุลา ๒๕๑๖: (๕) 2518/1975 ปีโลกาวินาส

อะไรไม่เคยเกิด ก็เกิดขึ้นได้   วิกฤติการณ์น้ำมัน 1973 – 1974 (2516 – 2517) ทำให้เกิดเงินเฟ้อ การลดกำลังพลในเวียดนาม มีผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในบ้านเรา และความรู้สึกว่า เสรีภาพและประชาธิปไตยแบ่งบานหลัง 14 ตุลาฯ เป็นแรงที่ทำให้ประเด็นด้านสังคม แรงงาน ชาวนา ทับซ้อนลงไปบนเรื่องการเมือง   เหล่านี้คือสิ่งที่คนที่อยู่ในปี 2518 เผชิญ  การปรับตัวเป็นไปอย่างยากลำบากเพราะความคุ้นชินกับสิ่งเดิมๆ ยังไม่จางไป  ความตึงเครียด ความแตกแยก ความไม่เป็นธรรม การประท้วง  การกระทบกระทั่ง และการประหัตประหารกัน เกิดขึ้นทั่วไป อย่างที่คนไม่อยู่ในห้วงเวลานั้นยากจะเข้าใจ  กระทั่งธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ดูจะไม่เกี่ยวอะไรกับใครโดยตรง ก็เจอกับเขาด้วย (รอไว้คราวหน้าค่ะ ไม่งั้นยาวเกิน)   การเมืองไทย 26 มกราคม 2518 มีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตามรัฐธรรมนูญ 2517 ผู้คนตื่นตัวกันมาก   ปี 2518 ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรี ๓ คน  คือ ศ.  สัญญา ธรรมศักดิ์  ถึง 15 กุมภาพันธ์  ม.ร.ว.  เสนีย์ ปราโมช ผู้มาจากการเลือกตั้ง รับตำแหน่งต่อ แต่ในวันที่  14  มีนาคม  พรรคประชาธิปัตย็ ไม่ได้รับความไว้วางใจจากสภาฯ   ซึ่งมีมติเลือก ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี  พรรคกิจสังคมที่ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ เป็นหัวหน้าพรรค  มีเสียงเพียง  18 เสียง  รัฐบาลผสมมากมายหลายพรรค จึงอยู่ไม่นาน  ต้นปี 2519 ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็ยุบสภา ให้เลือกตั้งใหม่   เมื่อ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนมีนาคม 2518  ได้แถลงนโยบายว่าจะดำเนินการให้มีการถอนทหารและฐานทัพสหรัฐออกจากประเทศไทยภายใน 1 ปี  ซึ่งกลายเป็นเงื่อนเวลาสำคัญในการเคลื่อนไหวของขบวนการนักศึกษาต่อมา  https://doct6.com/learn-about/how/chapter-2/2-3/2-3-1 แนวรบด้านอินโดจีน 7 April 1975 หลังจากรบกันเองมา 8  ปี 1 เดือนเศษ  ตั้งแต่ 11 มีนาคม 1967 เป็นต้นมา  เขมรแดงก็เป็นฝ่ายมีชัย  เขมรแดงฆ่าล้างเขมรอีกฝ่าย ตั้งแต่ 1975/2518 –   1979/2522)  ประมาณว่าตายกันไป 1.5 –  3 ล้านคน กว่าเรื่องจะสงบ 30 เมษายน ไซ่ง่อนแตก (วันเดียวกันนั้น ไทยเปิดตลาดหลักทรัพย์ฯ)    เรื่องคนหนีตาย ทั้งทางอากาศ ทางบก และทางเรือ กลายเป็นข่าวไปทั่ว  ทุกคนที่กลัวตายจากการเคยเป็นศัตรู หรือไม่แน่ใจการปกครองของเวียดกง-เวียดนามเหนือ  มุ่งหน้าไปตามยถากรรมสู่ประเทศที่ ๓  เป็นเรื่องเศร้าอีกเรื่องหนึ่ง  ไม่ต่างจากสงครามในตะวันออกกลางในเวลาต่อมาที่ทำผู้คนบ้านแตกสาแหรกขาด   เขมรและเวียดนามกลับสงบสุขได้อีกครั้ง แต่หลายประเทศในตะวันออกกลาง ยังเผชิญชะตากรรมที่ไม่แน่นอนกันต่อไป หวังว่าการปรองดองในปี 2566 ที่เริ่มมาแล้ว จะสร้างสันติให้กับดินแดนนั้นได้ในที่สุด   ประเทศเวียดนามกับลาวพึ่งความสนับสนุนของรัสเซียในช่วงสงคราม   12 – 15 พฤษภาคม 2518 เขมรแดงยึดเรือสินค้าชื่อมายาเกซ ของอเมริกัน ไม่ได้ยินข่าวว่ามีการล่วงล้ำน่านน้ำหรือเปล่า  แต่เรื่องนั้นบานปลายมาถึงไทยเมื่อมีการส่งนาวิกโยธินมาปฏิบัติการโดยใช้ไทยเป็นฐาน โดยไม่บอกเล่ากันก่อน  กระทรวงต่างประเทศประท้วง  และ 17 พฤษภาคม …

เรื่องชุด การเมืองไทยหลัง ๑๔ ตุลา ๒๕๑๖: (๓) disruption ในวงการเมืองและการเงิน (2514 – 2519)

ขอทบทวนความอลหม่านของสังคมไทย และสังคมโลกในเวลานั้น ที่เราคนไทยต้องเผชิญ และดีนักหนาที่รอดมาได้ เทียบสมัยโน้น กับสมัยนี้ (2566) แบบเหตุการณ์ต่อเหตุการณ์ไม่ได้ แต่นักประวัติศาสตร์จะมองเห็นเค้าลางบางประการสำหรับอนาคตได้ แม้ว่าตัวละครแต่ละตัวจะปรับท่าทีต่างไปจากเดิมมากมายก็ตาม นักการเงินรู้ความซ้ำแบบนี้ดี เช่น แชร์ลูกโซ่ หรือการแต่งบัญชี ดูเหมือนใหม่ล้ำ แต่เอาเข้าจริง หลักๆ ก็เดิมๆ ๑. การเมืองฝรั่งที่พลิกผัน 1971 /2514 สหรัฐฯ ปิดฉากการอิงดอลลาร์กับทองคำ สำหรับนานาชาติ [คือก่อนหน้านี้ รัฐบาลต่างชาติสามารถเอาเหรียญไปแลกทองได้ แต่นับว่าวันที่ประกาศ ดอลลาร์คือดอลลาร์ ไม่ได้มีค่าเทียบกับทองคำอีกต่อไป] ปี 1972/ 2515 ประธานาธิบดีนิกสัน แห่งสหรัฐฯ​ พลิกเกมการเมืองระหว่างประเทศ เดินทางไปสร้างสัมพันธ์กับรัฐบาลจีนที่ครองแผ่นดินใหญ่มานานกว่า ๒๐ ปี เสียที ๒. วิกฤติการณ์น้ำมัน 1973 – 1974 (2516 – 2517) ราคาน้ำมันมีเคยใช้กันอยู่จนชินในราคาต่ำ กลับขึ้นอย่างก้าวกระโดด (๔ เท่า)  เพราะอิสราเอลโจมตีอียิปต์และซีเรีย  ชาติผลิตน้ำมันในตะวันออกกลางตอบโต้ด้วยการงดขายน้ำมันให้ชาติที่สนับสนุนอิสราเอล และขึ้นราคาน้ำมัน แม้การ embargo จะจบลงแต่เศรษฐกิจของประเทศตะวันตกก็ซบเซาเรื่อยมาตลอดทศวรรษ 1970   [ราคาน้ำมันมีผลป่วนตลาดทั่วโลกทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองอีกครั้ง ปี 1979  เมื่อมีการปฏิวัติในอิหร่าน ตามมาด้วยสงครามอิหร่าน-อิรัก และอิรักโจมตีคูเวต  ตะวันออกกลางเข้าสู่ยุคปั่นป่วนนับแต่นั้น]  ราคาน้ำมันและภาวะเศรษฐกิจโลก เข้ามาซ้ำเติมเรื่องในประเทศ เพราะพอดีกับช่วง 14 ตุลาฯ ในบ้านเรา ที่การเมืองไทยกำลังอยู่ในช่วงปรับตัว  สิ่งแรกที่เกิดขึ้นในเรื่องราคาน้ำมันคือ **เงินเฟ้อ**  และเศรษฐกิจโลกก็บังคับให้ธุรกิจไทยต้องรับหน้ากับ และการส่งออกที่ไม่ปริมาณก็ราคาลดลง  ที่กระทบทุกคนถ้วนหน้ากัน  กลายเป็นปัญหาด้านสังคมและแรงงาน ทับซ้อนลงไปอีกด้านหนึ่ง   ๓. เวียดนามเหนือ-ใต้รวมกันได้ ในที่สุด สหรัฐฯ ปิดฉากการทำสงครามนาน ๘ ปี กับเวียดนาม-อดีตอาณานิคมฝรั่งเศส ด้วยสัญญาสันติภาพ ต้นปี 1973/2516 มีการถอนทหารจากเวียดนามใต้ กลับบ้าน ปี 1974 / 2517 มีวิกฤตการเมืองในบ้านตนเอง เมื่อประธานาธิบดีนิกสัน ถูกกล่าวหาในเรื่องที่เราคนไทยเรียกว่า “กรณีประตูน้ำ” (Watergate) และทำประวัติเป็นคนแรกที่ลาออกจากตำแหน่ง รองประธานาธิบดีรับตำแหน่งสืบต่อโดยโดยอัตโนมัติ {เหมือนกับตอนนี้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับโจ ไบเดน ผู้นำประเทศ ซึ่งเป็นผู้นำโลกด้วย โลกนี้คงมีผู้นำเป็นหญิงเป็นครั้งแรก และกมลา แฮริส ไม่ใช่ผิวขาวเสียด้วย] ถึงปี 1975 / 2518 ไซ่ง่อนแตก ลาวล่ม เขมรปั่นป่วน ไทยเราจะอยู่ได้ฤๅ เส้นเขตอิทธิพลถูกลากใหม่ ประเทศไทยถูกแทงบัญชีเป็นศูนย์ในด้านการเป็นแนวต้านคอมมิวนิสต์ เท้งเต้งละสิ [ตอนนี้ได้ยินพูดๆ กันว่า อยากดอดกลับมาใหม่ เราจะเขียนอนาคตของประเทศเราอย่างไร มีอิสระในการเขียนแค่ไหน ก็ต้องว่ากันต่อไป] ๔. ลมเปลี่ยนทิศในเมืองจีน แก๊งสี่คนอาละวาดหนัก เขาเหล่านี้เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน ก้าวขึ้นมาสมัยปฏิวัติวัฒนธรรม (the Great Proletarian Cultural Revolution) ตั้งแต่ 1966 มาหมดอำนาจเอาในปี 1976/2519 เมื่อเหมา เจ๋ง ตุง ประธานพรรคถึงแก่กรรม อุดมการณ์ที่พูดๆ กันอยู่ในเมืองไทยว่าเป็นลัทธิเหมานั้น มีสำเนียงเสียงของก๊วนนี้อย่างมาก เมื่ออิทธิพลในเมืองจีนจบ ชาวเราในเมืองไทยที่ตามพรรคคอมมิวนิสต์จีนตอนนั้น ก็ต้องคิดใหม่ ๕. การเมืองไทยไร้เสถียรภาพ สังคมร้าวฉานหนัก หลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2517 พรรคประชาธิปัตย์ได้ผู้แทนมากที่สุด (แต่ไม่ได้เสียงข้างมาก หรือ majority) แต่พลาดท่า ไม่ได้รับความไว้วางใจในสภา ทำให้ตั้งรัฐบาลไม่ได้ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ได้เป็นนายก (มี.ค. 2518) …