All posts filed under: Management

A Theory on Thai Leadership Style: ศ. ดร. เจตนาฯ: ผู้นำระนาดทุ้ม

ตำราของตะวันตกนำเสนอรูปแบบของการนำและความเป็นผู้นำ   (leadership style) หลายแบบ แล้วแต่จะกำหนดคำจำกัดความขึ้นมาจากการศึกษาสถานการณ์จริง   การเป็น “ผู้นำ” แบบหนึ่งที่เราคนไทยคุ้นเคย คือ “ผู้นำระนาดทุ้ม”  หรือ “วัฒนธรรมระนาดทุ้ม”  ที่ ศ. ดร. เจตนา นาควัชระ สังเกตและสังเคราะห์มาจากการศึกษาและรู้ซึ้งในวัฒนธรรมของไทยเรา และนำเสนอเป็นทฤษฎีหลายปีมาแล้ว**   แทนการพยายามบังคับจัดการเอาการนำแบบไทยลงไปอัดใส่ลงในทฤษฎีแบบตะวันตก  วัฒนธรรมการนำแบบไทยๆ แบบนี้ อาจารย์เจตนาฯ เรียกว่า วัฒนธรรมระนาดทุ้ม    มันแฝงฝังอยู่ในวัฒนธรรมแบบไทยๆ ของเราในหลายแง่หลายด้าน    “วัฒนธรรมระนาดทุ้มกับสุนทรีย์แห่งการสงวนอารมณ์ คงจะถือกำเนิดมาจากแหล่งเดียวกัน”  อาจารย์เจตนา สรุป  ทฤษฎี “วัฒนธรรมไทยเป็นวัฒนธรรมระนาดทุ้ม  คนมีฝีมือจะไม่แสดงตัวว่าโดดเด่น  คนที่จะโดดเด่นคือลูกศิษย์เอกของฉัน  ฉันให้ลูกศิษย์เอกของฉันออกหน้า  ผู้นำไม่ชอบที่จะแสดงตัวออกมาให้โดดเด่น   คุณภาพและความสามารถที่แท้จริงมักจะไปอยู่ด้านหลัง ผู้นำเป็นผู้นำที่แอบแฝงก็ได้” วิธีการนำแบบนายวงเป็นผู้เล่นระนาดทุ้ม ทำให้ “คนทั่วไปจะมี โอกาสพัฒนาศักยภาพของตนเอง เพิ่มขึ้นได้ก็ต่อเมื่อได้อยู่ในแวดวงของผู้คนที่มีใจสูงพร้อมจะให้โอกาสผู้อื่นและยอมรับว่ามีความแตกต่างจากตนเอง”  ผู้นำที่ดีในกรณีเหล่านี้ คือ “ผู้เปิดโอกาส  และคอยประคับประคอง”  ขยายความ  วงดนตรีไทยนั้นแต่เดิมมา ครูปล่อยให้ศิษย์เอกแสดงฝีไม้ลายมือเต็มที่อย่างโดดเด่นด้วยระนาดเอก ซึ่งจะเล่นทำนองหลัก   ส่วนทางของระนาดทุ้ม เป็นทางของผู้เล่นที่ดูประหนึ่งจะทำตัวเป็นมือรอง   ระนาดทุ้มหลบตัวออกไปอยู่เบื้องหลัง เล่นลูกล้อ ลูกขัด บางทีก็สนทนากับระนาดเอก  บางครั้งทำตัวราวกับเป็นจำอวดประจำวง  แต่ถ้าวงกำลังสะดุด เขาจะมีวิธีที่เรียกว่าจิกลงไปให้กลับมาหาจังหวะให้ได้ นั่นแหละคือคนคุมวง  ในขนบดั้งเดิม ระนาดทุ้มเป็นทั้งหัวหน้าวง (concert master) และวาทยากร (conductor) ไปพร้อมกัน  โดยที่ครูเจ้าสำนักมักจะคุมวงจากระนาดทุ้มรางนี้  คนไม่รู้ก็ไม่รู้ คนที่รู้ก็รู้เองว่าใครกันแน่คือผู้คุมวง   วัฒนธรรมการนำแบบไทยๆ เช่นนี้ ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในเรื่องการเล่นดนตรีปี่พาทย์เท่านั้น แต่ยังใช้อธิบายการนำทางการเมือง การทำงานในสำนักงาน และในกิจกรรมต่างๆ ได้อีกด้วย   เป็นวัฒนธรรมการนำที่ถ้าไม่สังเกต ก็มองไม่ออก   เมื่อฝรั่งฟังดนตรีไทย หรือคนไทยที่คุ้นกับดนตรีฝรั่ง  อาจจะงงมากกว่านักดนตรีทำอะไรกันแน่ ดูเหมือนต่างคนต่างเล่นไปกันคนละทางสองทาง หาระเบีบบแบบแผนไม่ได้  หัดก็ยาก (การเรียนดนตรีไทยระดับสูง เขาไม่เรียน แต่เขา “ต่อ” เพลง) แท้จริงคนเล่นดนตรีไทย ต่างคนต่างก็เก่งในเครื่องดนตรีที่ตนใช้ และต่างก็มีทางของตน  ในการเล่นดนตรีไทยเป็นวง คนเล่นต่างคนต่างมีอิสระในการเล่นของตน แต่อยู่ในกรอบที่เข้าใจกัน คืออยู่ในวงเดียวกัน เล่นเพลงเดียวกันและระหว่างเล่นก็ต้องฟังกันและกันให้ออก    และนี่คงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้มีคำวิจารณ์เป็นข้อเสียว่า​ คนไทยไร้ระเบียบวินัย  เอาแต่เล่น  แต่ถ้าเราเข้าใจวัฒนธรรมไทยของเราและไม่ติเตียนจากสายตาแบบฝรั่ง เราคงหาวิธีฝึกคนให้เป็นยอดฝีมือในด้านของเขา  เมื่อกำหนดเป้าหมายของงาน และสไตล์ของงานได้แล้ว  เมื่อต้องลงมือทำงานด้วยกัน และตั้งใจทำ​ งานสำเร็จลงได้ดีเหนือความคาดหมายโดยไม่ต้องกำกับมากมายทุกฝีก้าว เรื่องแบบนี้ ผิดกับดนตรีฝรั่งวงใหญ่  ที่ผู้ดูจะเห็นวาทยากรเด่นอยู่หน้าเวที คอยกำกับวง   ชี้ให้กลุ่มนี้เล่น กลุ่มโน้นเล่น เล่นดัง เล่นค่อย เล่นช้า เล่นเร็ว   นักดนตรีต้องเล่นตามโน้ตเพลงที่กางกำกับอยู่ตรงหน้า   และต้องเล่นตามลีลาที่วาทยากรนำ  อาจารย์เจตนาฯ  สรุปการนำวงแบบมีวาทยากรว่า    “นั่นคือวิธีคิดที่ทำให้ยอมรับความเป็นใหญ่  ความเป็นผู้นำของคน” เพราะเขาคนนั้นขึ้นมายืนวาดไม้อยู่ตรงหน้า  เมื่อวัฒนธรรมไทยปะทะกับวัฒนธรรมตะวันตก อ. เจตนาเตือนว่า   “ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในรอบไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ที่สังคมส่วนหนึ่งของเราถูกครอบด้วยการโฆษณา (ชวนเชื่อ) อันมีเทคโนโลยีเป็นตัวสนอง โดยใช้ความพริ้งเพริศเลิศหรูของระบบประชาสัมพันธ์สมัยใหม่  (PR) เข้ามาเสริม   ดูจะเป็นการสร้างความเด่นดังในระดับบุคคล ซึ่งในบางครั้งก็เป็นการ “สร้างภาพ”  เสียมากกว่า”  อาจจะทำให้เราหลงติดใจในระนาดเอก จนระนาดทุ้มสูญเสียเอกลักษณ์และวิ่งไล่ตามระนาดเอกไป  ที่จำนวนมากอาจจะเป็นระนาดเอกกำมะลอ หรือเป็นระนาดเอกประเภท “ลิปซิงก์”  ก็ได้ เมื่อดิฉันหวนกลับมาวิเคราะห์งานที่ตัวเองทำตลอดเวลาที่เป็นผู้นำองค์กร  โดยนำทฤษฎีนี้มาจับ ก็พบว่า “เออ แฮะ เราก็พึงใจในวัฒนธรรมระนาดทุ้มนี่แหละ”   ด้วยความที่ไม่ชอบดัง ไม่ชอบเด่น จะบอกฝ่ายงานด้านสมาชิกสัมพันธ์ …

Case Study: Project Management การประกวดแบบอาคาร โครงการศูนย์การแพทย์ (Project Rx)  บทที่ 4 – 7  

๔. ผลงานที่เกินความคาดหมาย งานทยอยเข้ามาตามกำหนด บางคนเสร็จสดๆ ร้อนๆ   ถ้ามาส่งด้วยตนเอง เจ้าหน้าที่ลงเวลาที่รับไว้ ถ้ามาทางไปรษณีย์เราดูตราประทับส่ง   น่าเสียดายที่บางรายมาส่งไม่ทันเส้นตาย ​ทำให้งานไม่ได้รับการพิจารณาทั้งๆ ที่ก็อีกนิดเดียวเท่านั้น  แต่เราต้องใจแข็ง เพราะกติกาเป็นกติกา บอกกันชัดเจนล่วงหน้าแล้ว  กรรมการสายอาจารย์สถาปัตยฯ  และผู้ช่วยที่เป็นสถาปนิกของฉัน ดีใจที่มีผู้ร่วมส่งงานเข้าประกวดอย่างคึกคัก นับที่ส่งในเวลาได้เกิน ๕๐ ทีม  คุณภาพของงานโดยรวมออกมาดีเกินคาด   เราจะได้แบบสำหรับขึ้นเป็นอาคารจริงแน่ๆ อยู่ที่ว่าคณะกรรมการ จะพอใจแบบของใคร   เหล่าผู้ที่ร่ำเรียนมาในศาสตร์ของงานด้านสถาปัตย์   พิจารณางานที่เรียงอยู่บนโต๊ะในห้องประชุมสองห้อง และปรึกษากันด้วยศัพท์แสงทางวิชาชีพเพื่อกลั่นกรองงานในเชิงเทคนิค  เป็นการเตรียมความพร้อมก่อนนำเสนองานทั้งหมดต่อที่ประชุมคณะกรรมการ เพื่อพิจารณาตัดสิน  เขาคัดแยกงานที่ส่งเข้าประกวดเป็น ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มถูกกฎหมายและถูกต้องตามข้อกำหนดทุกประการ กับกลุ่มที่ผิดเกณฑ์ ในวันประชุมตัดสิน  บอร์ดผลงานวางเรียงรายเต็มห้องประชุม ให้คณะกรรมการได้พิจารณา โดยอาจารย์สายสถาปัตย์ฯ ช่วยกันให้ความเห็นด้านวิชาชีพว่าแบบไหนเด่นตรงไหน  บกพร่องตรงไหน  กรรมการอื่นรับฟัง และสอบถามจนเข้าใจ แล้วก็ลงคะแนนรอบที่ ๑ คือ เลือกช้ินงานที่ชอบที่สุด ๑๐ ชิ้น และมีคะแนนพิเศษแถมให้ชิ้นที่โดนใจที่สุดอีก ๒ คะแนน    ต่อจากนั้น อาจารย์คนไหนเชียร์งานไหน ก็กล่าวสนับสนุนว่าชอบอะไร ตรงไหน   แล้วกรรมการแต่ละคนลงคะแนนตามหัวข้อที่ระบุไว้ในทีโออาร์  บวกกันเป็นคะแนนรวม   ๕  ราย ที่ได้คะแนนสูงสุด เป็นผู้ได้มีโอกาสไปปรับปรุงแบบ เพื่อเตรียมนำเสนอแบบเปิดชื่อ เปิดหน้า มาด้วยกันทั้งทีม ในรอบชิงชนะเลิศ  ในอีก ๑ เดือนข้างหน้า   ในแง่ความโปร่งใสและเป็นธรรม ฉันให้คะแนนผลงานการตัดสินรอบแรกนี้เต็มร้อย  เพราะงานทุกชิ้นที่นำเสนอมีแต่หมายเลข  กรรมการไม่เห็นชื่อผู้ส่งเข้าประกวด   และฉันเองซึ่งออกหน้าชี้แจงโน่นนี่ ไม่ได้เป็นกรรมการตัดสิน  ฉันคิดว่าฉันออกแบบตรงนี้ได้ฉลาดมาก    หลังจากการประชุม เราทบทวนกันว่าการให้คะแนนดิบไม่เหมาะสำหรับนำไปใช้ในการตัดสินรอบสุดท้าย เพราะมาตรฐานการให้คะแนนของกรรมการต่างกันมาก บางคนกดคะแนน บางคนคะแนนเฟ้อ บางคนให้คะแนนถ่างกันมาก บางคนให้คะแนนแคบๆ (คือแต่ละราย ต่างกันไม่กี่คะแนน)  คะแนนของคนที่ให้คะแนนถ่างมากๆ จึงได้น้ำหนักสูงมาก  ดูไม่ค่อยสะท้อนความเห็นอย่างเท่าเทียมกัน        ฉันมอบหมายงานให้ตัวเองว่าจะต้องกลับไปนั่งคิด นอนคิด (และรอให้นางฟ้าประจำตัวของฉันมากระซิบแนะนำ)  ว่าจะออกแบบวิธีการให้คะแนนตัดสินรอบสุดท้ายอย่างไร จึงจะได้น้ำหนักที่สะท้อนความเป็นจริง และแฟร์ต่อทุกคนที่สุด   ​  ๕.  รอบชิงชนะเลิศ   กรรมการฝ่ายเจ้าของเงิน เจ้าของโครงการ (รวมเรียกว่า  stakeholders) กับฝ่ายวิชาชีพ (ที่พิจารณาให้ความเห็นด้านเทคนิคเป็นหลัก) พร้อมแล้ว  ฉันนำเสนอวิธีลงคะแนนคัดเลือกแบบที่คิดมาแล้วคือ   ให้ ranking  ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ตามหัวข้อในทีโออาร์   แล้วจึงแปลงเป็นคะแนน  ที่ประชุมเห็นด้วย ผู้ส่งผลงานเข้าประกวดจับฉลากกันว่าใครจะได้ลำดับที่จะนำเสนอก่อนหลัง ทุกครั้งที่เสนองานจบหนึ่งราย กรรมการจะได้พักชั่วครู่ เมื่อผู้เข้าชิงชนะเลิศรายต่อไปเข้ามาจัดบอร์ด และเปิดโมเดลที่ห่อกระดาษปิดมามิดชิด (โมเดลนำมารอไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว เพื่อไม่ให้เกิดความขลุกขลักในเชิงลอจิสติกในวันนำเสนอ)   ฉันมีหน้าที่กำกับเวลา และตัดจบเมื่อหมดเวลา กรรมการฟังทุกรายอย่างตั้งใจ กรรมการฝ่ายวิชาชีพถามคำถามเพื่อให้ประเด็นชัดเจนขึ้น ซึ่งสำคัญมาก และกรรมการสาย stakeholders ไม่มีทางถามได้เจาะลึกแบบนั้น  เมื่อกรรมการสายแพทย์ตื่นตัวกับการนำเสนอของบางราย แบบว่าตาแวววาว แล้วถามคำถามหลายข้อ   ฉันเริ่มเดาในใจว่า รายนั้นๆ มีโอกาสมาวินสูงมาก เมื่อนำเสนอครบทั้ง ๕ ราย คณะกรรมการก็ถกกันเอง โดยฝ่ายวิชาการพูดข้อดี ข้อเสียของแต่ละคน เพื่อให้คณะกรรมการได้ความเห็นของมืออาชีพก่อน  ส่วนการตัดสินจากความพึงใจของแต่ละคนว่าชอบแบบของใครที่สุด และชอบของใครรองลงมาอีกสองอันดับ ก็ต่างคนต่างลงคะแนนตามที่ตกลงกันไว้  แล้วเจ้าหน้าที่จัดทำออกมาเป็นคะแนนรวม     แฮปปี้ด้วยกันทุกฝ่ายกับผลที่ออกมา  บริษัทที่ชนะเลิศ ตรงกับที่ฉันคิดไว้ในใจ ซึ่งก็ไปตรงกับใจของกรรมการเกือบทุกคน  ถ้าแทงหวยแล้วถูก แบบทายผู้ชนะเลิศได้แบบนี้ …

Case Study: Project Management การประกวดแบบอาคาร โครงการศูนย์การแพทย์ (Project Rx) บทที่ 3

๓. T O R  สำคัญมากนะ …  แต่ว่ามันคืออะไร หลังจากที่สมาคมฯ เห็นดีเห็นงามกับการประกวดแบบสำหรับสร้างอาคารหลังใหม่ และเห็นพ้องกันในหลักใหญ่ๆ แล้ว  ก็ต้องเขียนเงื่อนไขการประกวด (ย่อจากคำว่า terms of reference)    ทีโออาร์ คือการกำหนดกติกาทั้งหมดที่เกี่ยวกับการประกวด   ทีโออาร์ที่เขียนดี เป็นกฎกติกาที่ชัดเจน ใช้อ้างอิงได้     ใครเขียนล่ะ  โครงการนี้จะว่าเป็นโครงการก็เป็น เพราะมีเงิน มีการทำงานแล้วนำเสนอตามขั้นตอน   จะว่าไม่เป็นโครงการก็ไม่เป็น เพราะไม่มีโครงสร้างหรือกระบวนการทำงานแบบที่ส่วนราชการเขาคุ้นๆ กัน  มองรอบตัวไม่มีใครจะมอบหมายได้สักคน มีแต่ “ฉัน” คนเดียว  ฉันจึงมอบหมายให้ฉันเขียนขึ้นมา ไม่รู้ว่าจะตั้งต้นเขียนอย่างไรเหมือนกัน  ได้ยินแว่วๆ ว่า ให้ใส่รายละเอียดโน่น นี่  นั่น   แต่ว่าฉันยังไม่มีข้อมูลในมือเลยว่า จะใช้อาคารนี้ให้บริการอะไรบ้างอย่างชัดๆ   อีกประการหนึ่ง ทีโออาร์ที่ละเอียดเกินไป ไม่เปิดช่องให้ความคิดสร้างสรรค์  ผิดเป้าหมายที่เราต้องการให้สถาปนิกมาช่วยเราคิดทีว่า  บริการสมัยใหม่ของยุคนี้ควรมีกระบวนการทำงานอย่างไร  จึงไม่ควรตีกรอบแบบกระดิกไม่ได้  แต่ว่าทีโออาร์ที่กว้างเกินไป ไม่บอกอะไรเลย  อาจไม่ได้สิ่งที่คาดหวังไว้เลยก็ได้     หมดท่าเข้าจริงๆ ก็ต้องใช้วิธี ตัด แปะ บรรดาทีโออาร์ที่เขามีๆ อยู่ในท้องตลาด และจัดการเรียบเรียงเพื่อตอบคำถามต่อไปนี้ จะประกวดอะไร     ๑.  ประกวดแนวคิด  (concept design)  โดยเราบอกว่ามีฝันอยากเห็นกระบวนการให้บริการในลักษณะที่เข้ากับโลกยุคใหม่นี้ ไม่เอาโลกที่โบราณนานมาที่เรามีอยู่แล้ว   ต้องใหม่ ทันสมัย ได้ประสิทธิภาพ แต่ท่าอย่างไรโปรดคิดให้ที   ๒.  โครงการนี้จะสร้างอาคารเพื่อเป็น  ambulatory care  (ศัพท์หมอ  แปลว่า ไม่รับผู้ป่วยหนักร่องแร่งมาจากรถฉุกเฉิน และไม่มีห้องผู้ป่วยใน ซึ่งแปลว่าเป็นศูนย์การแพทย์  ไม่เป็นโรงพยาบาล)   ๓.  ต้องการเน้นการ “สร้าง”  มากกว่าการ “ซ่อม” สุขภาพ   เราอยากส่งเสริมให้คนมีสุขภาพดี คนมาหาเราเพราะอยากรักษาสุขภาพของตัวเองไว้ให้ดีไปนานๆ    คำขวัญที่ยังคิดภาษาไทยไม่ลงตัวคือ To promote a healthy life.  ๔. อาคารต้องสร้างบนที่ดินสองผืนที่ตอนนี้ติดเป็นผืนเดียวกัน  แต่จะต้องแยกจากกัน เป็นอาคารสแตนด์อโลนในที่ของแต่ละแปลงได้ในอนาคต  โดยแปลงที่เราไม่ได้เป็นเจ้าของโดยตรง ทุบทิ้งได้เมื่อส่งมอบที่ดินคืนให้เจ้าของผู้ให้เราเช่า  โดยไม่กระเทือนอาคารที่เราจะต้องใช้ต่อไปอีกยาวนาน   ๕. พยายามสื่อความว่า อาคารนี้เน้นฟังก์ชั่น ไม่เน้นฟอร์มที่หรูล้ำ (แต่เปลืองที่ และไร้ประโยชน์ใช้สอย)    ๖.  ยังไม่มีใครรู้เลยว่าจะทำคลินิกอะไรบ้าง  รู้แต่ว่าจะมี imageing center (เอ็กซเรย์ อัลทราซาวด์ อะไรพวกนั้น)  เพื่อตัดปัญหาไก่กับไข่ว่าอะไรมาก่อน ระหว่างแบบกับประโยชน์ใช้สอย   ฉันจึงกำหนดง่ายๆ ว่า ต้องการคลินิกขนาด S M L อย่างละกี่คลินิก และต้องการให้ยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนขนาดได้ง่าย ​ ที่เหลือขอให้สถาปนิกช่วยคิดมาให้ที   [ในแบบที่เสนอกันมา จึงมีคลังยา มีห้องปลอดเชื้อ ฯลฯ   อยู่ในอาคารครบถ้วน  นับว่าดีกว่าปล่อยฉันคิดคนเดียว หรือหมอบางคนคิด ซึ่งต่างคนต่างถนัดคนละด้าน และคงตกหล่นไปบ้างแน่ๆ]   ทีโออาร์ด้านการใช้งานอาคารของฉันสั้นมาก มีรายละเอียดสิ่งที่ต้องการน้อย แต่มีเอกสารให้ไปอ่านเป็นหางว่าว ทุกคนหาอ่านได้ทางอินเทอร์เน็ต​เหมือนที่ฉันอ่านมาแล้ว    ฉันทำตัวเหมือนเป็นครู ต้องการให้นักศึกษาเก่งๆ ส่งการบ้านสร้างสรรค์  ฉันระวังที่จะไม่บอกรายละเอียดมาก เพราะ (๑) ฉันไม่รู้เรื่องการแพทย์ และ (๒)  บอกละเอียดไป ไอเดียเก๋อาจหลุดหล่นหายไป จะทำอย่างไรให้สถาปนิกมือดีอยากประกวด       ได้รับข้อคิดอันมีค่ามาว่า  “ความรู้สึกว่าเป็นธรรม …

Case Study: Project Management การประกวดแบบอาคาร โครงการศูนย์การแพทย์ (Project Rx) บททึ่ 1 – 2  

ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวของ “ฉัน” ที่โชคหรือเคราะห์บันดาลให้ได้รับงานชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่ง ที่ไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต    “ฉัน” ต้องใช้ทั้งเวลาและหัวคิด คิดงานให้สร้างสรรค์และเป็นไปได้ ด้วยกำลังคนที่จำกัดยิ่ง และ “อำนาจในการสั่งการ” ไม่มีเลย   มันก็สนุกดีนะ  ๑.  เริ่มด้วยอุปสรรค   เครื่องจักรกำลังทำงานในพื้นที่ เพื่อตอกเสาเข็มและก่อฐานรากอาคารศูนย์การแพทย์ ๒๙ ชั้น กลางกรุงเทพฯ   ฉันมองไซด์งานอย่างโล่งใจ นึกถึงวันที่ต้องเริ่มทำโปรเจ็คนี้ครั้งแรก  แค่ย่างก้าวแรกก็เจออุปสรรคแล้ว   เราวางแผนกันว่าจะไปดูงานของโรงพยาบาลที่น่าจะทันสมัยในต่างประเทศ แต่โควิด๑๙ มาขัดจังหวะเสียก่อน และไอเดียที่คิดกันอยู่ในหมอกสลัวมานานเนิ่น  เมื่อไอเดียเริ่มกระจ่าง งานก็เริ่มเร่งเข้ามาจนไม่สามารถจะรอเวลาไปดูงานได้  ต้องคิดวิธีอื่น   ฉันเริ่มทำ desktop research ว่าโรงพยาบาลน่าจะมีอะไรบ้าง แต่ก็ยังตันอยู่ เพราะฉันไม่ใช่หมอ  จึงคิดไอเดียที่ตัวเองคิดว่าเข้าท่าขึ้นมา คือเสนอว่าเราน่าจะได้โรงพยาบาลที่ทันสมัยสุดล้ำโดยให้สถาปนิกช่วยคิด   วิธีให้คิดที่เปิดกว้างที่สุด คือประกวดแบบ แบบของใครชนะ เราก็จะเลือกจ้างคนนั้นหรือบริษัทนั้น เป็นผู้ออกแบบก่อสร้างอาคารจริง  ประหลาดใจนิดๆ ที่หัวหน้าโครงการรับไอเดียนี้   ไอเดียที่คิดว่าเข้าท่าก็เลยดูดีงามขึ้นมาอีกมากมาย   วันหนึ่งฉันก็สามารถนัดพบผู้ใหญ่ในสภาฯ วิชาชีพได้  พร้อมเพื่อนร่วมงานที่เป็นสถาปนิก เราต้องการจะถามว่า ความคิดเรื่องประกวดแบบที่เราคิดขึ้นมานี้  ใช้ได้หรือไม่ ต้องปรับปรุงอะไรบ้าง และจะขอให้สภาฯ ช่วยจัดประกวด คำตอบที่ฉันได้ยินก็คือ “คุณอย่าคาดหวังอะไรมากกับการประกวดแบบ”  วันนั้นเพื่อนร่วมงานที่ไปด้วยใจไม่ได้อยู่ในห้องประชุม  เพราะระหว่างประชุม ก็มีสายด่วนเข้ามาด้วยเรื่องงานที่เขากำลังรับผิดชอบอยู่เกิดขลุกขลักกระทันหัน  เขาวุ่นโทรศัพท์อยู่ตลอดเวลาที่ประชุม    คำตอบจากที่ประชุมคงแค่ผ่านหูเขาไปเท่านั้นเอง  สองคนต่างก็ขับรถออกมาจากสภาฯ   ฉันจิตตกอย่างมาก  การสนทนานั้นทำให้ฉันรู้สึกว่าความคิดของตัวเองมันแย่มาก   ส่วนเขาใจคงบินไปถึงที่ทำงานแล้ว  เพราะไม่รู้ว่างานที่สั่งแก้ปัญหาไปทางโทรศัพท์บรรลุผลหรือไม่ ในวันถัดมา หัวหน้าโครงการถามอย่างคาดหวังคำตอบเชิงบวก  “เป็นไง ได้อะไรมาบ้าง” ฉันบอกเจ้านายสั้นๆ ว่า “เลิกล้มความคิดประกวดแบบละ    ที่ประชุมเมื่อวานบอกว่า มันคงไม่เวิร์ค”  ใจห่อเหี่ยวถึงที่สุด  ได้แต่คิดวนเวียนอยู่ในสมองว่า “จะไปทางไหนต่อดีหนอ   เราไม่ใช่หมอ แล้วเราก็ไม่ใช่สถาปนิก”   กว่าจะถึงวันนี้ที่กำลังตอกเสาเข็มในไซต์งาน   ไอเดียหาสถาปนิกของฉันก็ระหกระเหินไปอีกหลายด่าน  แต่เราที่ร่วมงานกันอยู่ปรับวิธีทำงาน แต่ตั้งใจไม่ทิ้งเป้าหมายที่ว่า เราต้องการโรงพยาบาลท่ีเป็นเลิศในวิชาชีพ  ทันสมัยและมีประสิทธิภาพในด้านวิธีการทำงาน และสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้มารับบริการได้อย่างคล่องตัว  คนทำงานและผู้มารับบริการใช้สถานที่อย่างสบายใจ  ๒. @โรงเตี๊ยมยุคใหม่ใจกลางเยาวราช  ความคิดเรื่องประกวดแบบวนเวียนอยู่ในสมอง ไม่เลิกไม่รา  ดังนั้น ฉันจึงหาโอกาสคุยกับเพื่อนร่วมงานที่ไปประชุมด้วยกัน หลังจากที่เขาสะสางปัญหาด่วนของเขาได้แล้ว    เขาบอกในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ฉันรู้สึกหลังการประชุม    “ผมว่าไอเดียประกวดแบบเวิร์คนะครับ ในฐานะสถาปนิก ผมว่าโครงการนี้น่าสนใจมาก”   “ถ้าคุณมีสิทธิส่งประกวดได้ คุณจะส่งไหม”  ฉันถาม “ส่งครับ มีคนสนใจส่งอีกแน่ๆ ครับ  ท้าทายดีมากครับ  ต้องคิดแบบและคิดฟังชั่นของอาคารด้วย”     คำตอบนี้ช่วยฟื้นกำลังใจของฉันขึ้นมา   “อุปสรรคทำให้เปลี่ยนวิธีการ แต่ไม่เปลี่ยนเป้าหมาย” เป็นคาถาที่ดี  แต่ขอถามตัวเองอีกครั้งหนึ่งก่อนจะเปลี่ยนวิธีการว่า   ฉันสำรวจไปสุดทางของเรื่องการประกวดแบบหรือยัง   ยังเลย เพิ่งเจอไปแค่ดอกเดียว   ฉันกลับหมดกำลังใจอย่างง่ายๆ       เป็นงี้ได้ไง     ฉันเริ่มสำรวจเส้นทางเดินอีกครั้งว่า ฉันจะไปหาสถาปนิกที่ไหนที่จะชี้แนะช่องทางเดินให้ได้  แล้วฉันก็นึกได้ว่าน้องเพื่อนคนหนึ่งเป็นสถาปนิก  เขาเคยคว้ารางวัลประกวดแบบระดับนานาชาติมาแล้ว  เขาต้องมีคำตอบให้ฉันได้แน่ว่า ไอเดียของฉันน่าสนใจทำต่อ หรือน่าเก็บขึ้นหิ้ง​   ฉันรีบโทรศัพท์หาและนัดคุย อยากรู้ว่าถ้าได้ยินไอเดียประกวดแบบของฉัน เขาจะส่งประกวดไหม    ที่ฉันกลัวที่สุดคือ ประกาศประกวดแบบแล้วไม่มีคนส่งงานมาเข้าประกวด หรือสถาปนิกมือดีไม่สนใจเลย  ได้แต่แบบสามัญธรรมดาไม่น่าประทับใจ   แบบนั้นจ๋อยแน่ๆ   เรานัดกันที่บาร์ในเยาวราช เป็นกลุ่มเล็กๆ เพียง ๕ – ๖ คน มีผู้เกี่ยวข้องจริง ๓ …

กบข.  กระทรวงการคลัง และคุณศุภรัตน์ ควัฒน์กุล 

 มรณธมฺโมมฺหิ   มรณํ อนตีโต เรามีความตายเป็นธรรมดา ล่วงความตายไปไม่ได้ วันศุกร์ที่ 21 มกราคม 2565 ได้ข่าวการเสียชีวิตของคุณศุภรัตน์  ควัฒน์กุล  อดีตปลัดกระทรวงการคลัง และรองประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ ดิฉันไม่ได้รู้จักหรือสนิทกับคุณศุภรัตน์ แต่เคยพบผ่านกันสั้นๆ ในครรลองของงาน   ข่าวการมรณกรรมในคราวนี้ทำให้นึกถึงพุทธวจนะข้างต้น  และในขณะเดียวกันก็นึกถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องด้วยขึ้นมาได้สองเรื่อง คือเรื่องที่เกี่ยวกับกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) และเรื่องเงื่อนปมในการพิจารณาก่อนเป็นนโยบายด้านภาษีเงินได้ ครั้งแรกที่ได้พบและได้คำแนะนำที่มีประโยชน์ ดิฉันได้พบกับคุณศุภรัตน์ สมัยที่เป็นเลขาธิการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ครั้งแรกเพราะเป็นเลขานุการให้กับคณะกรรมการที่ศึกษาเรื่อง วิกฤติเศรษฐกิจและวิกฤติสถาบันการเงินในสมัยปี 2540 (ซึ่งได้รับการขนานนามในเวลาต่อมาว่า”วิกฤตต้มยำกุ้ง”)  และจัดทำรายงานที่เรียกกันต่อมาว่า รายงาน ศปร.   ดิฉันไม่รู้ว่างานแบบนี้เขาต้องทำอย่างไร เพราะไม่เคยทำ   กรรมการคนอื่นก็ล้วนแต่เป็นบุคคลภายนอกทั้งสิ้น คนเดียวที่เคยเป็นข้าราชการระดับสูงในกระทรวงการคลังคือประธานของคณะกรรมการ  ท่านแนะนำก็ไปถามคุณศุภรัตน์ ซึ่งเคยทำงานให้หลายคณะกรรมการมาแล้ว  ซึ่งจำไม่ผิดขณะนั้นเป็นผู้ตรวจการ กระทรวงการคลัง ที่จำได้แม่นที่สุดก็คือคุณศุภรัตน์เตือนว่า  “ต้องคิดเผื่อด้วยนะครับว่าเมื่องานเสร็จแล้วจะเอาเอกสารทั้งหมดไปไว้เก็บที่ไหน ผมอยู่กระทรวงการคลังผมเก็บไว้ในหน่วยงานได้”   ขอขอบคุณสำหรับคำเตือน  ที่ทำให้ดิฉันต้องคิดหาทางออก   เพราะดิฉันไม่ใช่คนกระทรวงการคลัง และไม่มีข้าราชการกระทรวงการคลังสักคนเดียวอยู่ในคณะกรรมการชุดนี้  แต่ก็คิดอยู่ว่าต้องเก็บรวมไว้ เพื่อการค้นคว้าต่อไปของผู้ที่สนใจ   วันที่ส่งรายงาน ศปร. ดิฉันขนเอกสารเต็มลังไปส่งให้รัฐมนตรีธารินทร์ นิมมานเหมินท์ ด้วย พร้อมกับเสนอแนะว่า “ถ้าเก็บที่กระทรวงการคลังก็ไม่มีเจ้าภาพรับเก็บเพราะเป็นงานของคณะกรรมการเฉพาะกิจ  ไม่เกี่ยวข้องกับงานประจำของกระทรวง  น่าจะส่งไปเก็บที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ”    ไม่ทราบว่าตอนนี้เอกสารต้นฉบับอยู่ไหนแน่  ดิฉันส่งงานแล้วเป็นอันว่าเสร็จงานค่ะ การตัดสินใจครั้งใหญ่สำเร็จลงได้เพราะเกณฑ์ที่ชัดเจน มีเหตุมีผล อธิบายได้  ครั้งต่อมา เมื่อคุณศุภรัตน์ เป็นผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจและการคลัง (สศค.) ก็ดำรงตำแหน่งตำแหน่งประธานอนุกรรมการลงทุนในคณะกรรมการ กบข. โดยตำแหน่ง และมีอีกตำแหน่งหนึ่ง เป็นประธานกรรมการในการซื้ออาคารเพื่อลงทุน (เรื่องนี้เล่าไว้ในหนังสือที่สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดพิมพ์เมื่อปี 2550 เสียดายที่ตั้งชื่อไม่ชัด  หนังสือนี้น่าจะชื่อว่า  “สี่ปีแรกที่กบข.: หนึ่งล้านคน หนึ่งความวางใจ)  กลับไปเปิดอ่านใหม่ จึงได้เห็นความละเอียดถี่ถ้วนในการทำงานของคุณศุภรัตน์  กล่าวโดยย่อคือ  สำนักงาน กบข. นำเสนอขอซื้ออาคารสำนักงาน เป็นสินทรัพย์เพื่อลงทุน​ วิธีการได้อาคารทำอย่างเป็นระบบมาก คือ ๑. ตีตารางบนแผนที่ว่าอยากได้อาคารในย่านไหน ๒. ทำเกณฑ์ที่เห็นและวัดได้รวม 16 ข้อ  ว่าด้วย ขนาด ทำเล อายุอาคาร จำนวนที่จอดรถ สภาพแวดล้อม ระยะห่างจากถนนใหญ่ ระยะห่างจากสถานีรถไฟฟ้าสาธารณะ  ฯลฯ  เป็นเกณฑ์ที่ชัดเจนมากใครใครก็สามารถนำตารางนี้ไปให้คะแนนเองได้คุณศุภรัตน์ถามทุกข้อ ว่าทำไมตั้งเกณฑ์ข้อนี้   และต้องมีคุณสมบัติอย่างไรจึงจะได้คะแนนหนึ่ง สอง หรือสาม    ๓. รายการแรกที่มองเห็นด้วยตาคือขนาด  พนักงานเดินสำรวจทุกถนนที่ตกลงกันไว้ ได้มา 84 อาคารพอนำอาคารลงไปใส่ในเกณฑ์  เหลือ 46 อาคาร ๔. ตัดลงเรื่อยๆ  เช่นเป็นคอนโดมิเนียมไม่เอา อาคารยังไม่เสร็จ ไม่เอา  ​ตอนนี้เหลือ 28 อาคาร  ๕. ให้ที่ปรึกษาประเมินอาคารสอบถามเจ้าของอาคารว่า สนใจจะขายอาคารหรือไม่   ใน 28 ราย แปดรายตอบไม่ขาย แปดรายไม่ตอบ  เหลือ 12 รายที่อยู่ในข่ายดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป คือออกจดหมายสอบถาม   ทราบไหมคะว่าในการออกจดหมายนี้มีชื่ออาคารธนาคารกรุงเทพ  เอไอเอ และธนาคารแห่งเอเชีย ด้วย  ดิฉันบอกว่าไม่จำเป็นต้องถามหรอก แต่คุณศุภรัตน์ยืนยันให้ถาม  พวกเราก็ต้องทำใจมองอีกมุมว่า  ใครจะไปรู้ว่าอยากขายหรือไม่  ถ้าเราไม่ถามเพราะคิดเอาเองว่าเจ้าของไม่ขาย อาจเป็นเรื่องขึ้นมาในภายหน้าได้ ๖. ใน 12 ราย  สามรายปฏิเสธ เมื่อพิจารณาโดยละเอียดแล้วตัดออกอีก ๒ อาคาร เพราะเมื่อมองลึกลงไปในรายละเอียดแล้ว ไม่ได้ตามเกณฑ์  ดังนั้นเหลือเจ็ดอาคารให้ คณะกรรมการสามคนเป็นผู้อธิบายรายละเอียดให้ผู้รับซองเพื่อยื่นเสนอราคา  และยังมีหนังสือแจ้งไปชัดเจนว่าให้แจ้งราคาที่เจ้าของอาคารต้องการจะได้  …

รอดได้ในวิกฤต: I Will Survive!

อาการของวิกฤต     ตลาดเหือด  Market dries up  คู่แข่งหาย   Competitors disappear คนที่รอด ในสถานการณ์เช่นนี้  คนที่จะรอดคือคนที่พร้อม และมีใจมุ่งมั่นว่า เราจะต้องรอด  ทัศนคติแห่งการเตรียมพร้อม  พร้อมทางใจและสมอง  คือคนที่คิดหนัก มองไกลและมองเผื่อ มองไกลข้างหน้าไปหลายก้าว Think beyond the short term conditions และมองเผื่อ คือมีวินัย และมีแผนสำรอง “สมมติว่าไม่เป็นอย่างที่คาด จะทำอย่างไร”  Anticipate and be ready  for a worst case scenario พร้อมทางการเงิน คือคนที่หนี้น้อย  พร้อมทางด้านการลงมือ คือ พร้อมปรับตัว ไม่ยึดติด ไม่ฝันว่าแล้วเดี๋ยวอะไรๆ ก็ดีเอง   แต่มองเผื่อว่าถ้าโรคระบาดไม่ไปเร็ว  เราจะอยู่อย่างไร  เป็นการคิดเหตุการณ์ลบเพื่อความรอบคอบ ด้วยความกล้าที่จะเผชิญปัญหา ไม่ใช่คิดแบบหมดหวัง หรือกลัวจนไม่กล้าทำอะไร  (คือเน้น worst case scenario ไม่ใช่ฝันอยู่ กับ best case  ถ้าปิดความเสี่ยงการพลั้งพลาดได้มาก โอกาสที่สำเร็จก็มากขึ้น)   พูดง่าย ทำได้ไหมนะ   มีคนทำได้ ตามตัวอย่างข้างท้ายข้อเขียนนี้ ดังนั้น อย่าท้อ..ก้าวต่อไป How to survive: Being resilient ด้านการเงิน    Financial risk management /  Cash flow  management หนี้น้อย เงินสดไม่ขาดมือ หมุนได้ไม่ติดขัด  ต้องไม่ลืมคาถาสำคัญที่สอนกันมาทุกยุคทุกสมัยว่า  In crisis, cash is king.     ถ้าเงินสดขาดมือ หรือไม่มีสินทรัพย์ที่แปลงเป็นเงินสดได้ง่าย แบบไม่ขาดทุนมาก  บริษัทที่พื้นฐานแข็งแกร่งก็ล้มได้ง่ายๆ    คนมีทรัพย์สินมากมาย ก็ประสบปัญหายุ่งยากได้ทันที   และก็มีหลายกิจการที่จมน้ำเอาเมื่อใกล้ถึงฝั่ง ก็ด้วยเหตุเดียวกัน   ด้านปฏิบัติการ / ด้านการทำธุรกิจ   (๑) ทำงานแบบมีประสิทธิภาพมาสม่ำเสมอ  Efficiency    (๒) มีการบริหารงานที่ยืนหยุ่น คล่องตัว พร้อมปรับตัวกับโอกาสที่เปิดให้  Flexible management ปรับตัวเร็ว ไม่อุ้ยอ้าย  ไม่รอช้า  ไม่ท่ามาก ไม่ยึดติด  ตัวอย่างที่ ๑ บ้านงามริมทะเล   วินัยดี + มีโชคช่วย คนวัย ๕๐ ต้นๆ คนนี้ เป็นหนี้สร้างบ้าน บ้านนั้นตั้งใจเป็นบ้านให้เช่าระดับหรูที่ภูเก็ต ตั้งแต่โควิด-๑๙ มาเยือนในปี ๒๐๒๐  ไม่มีนักท่องเที่ยวจองบ้านมาเลย   ต้นปี ๒๐๒๑ เธอถือโอกาสปรับปรุงบ้าน  ทั้งๆ ที่รอไปอีกสักสองสามปีก็คงจะได้ ด้วยเหตุผลว่าจะได้ช่วยให้ช่างที่งานน้อยมาก ได้มีงานทำ มีเงินใช้ และตัวเธอก็จะได้งานตรงเวลา เพราะช่างไม่ต้องวิ่งหลายงานในเวลาเดียวกัน ปลายปี เปิดภูเก็ต เธอก็ยังเรื่อยเฉี่อยไม่ดิ้นรนหาลูกค้า ไม่ลดราคาค่าที่พัก “ปล่อยให้คนเขาเดือดร้อนได้แขกก่อนเถอะ”  เธอทำตัวของเธอให้หายออกไปจากตลาดที่เหือดแห้ง “เผื่อจะช่วยคนอื่นให้ได้ลูกค้าง่ายขึ้น”   เธอไม่ได้มั่งคั่งร่ำรวย  ที่ทำตัวแบบคนรวยได้เพราะเธอมีงานอื่นทำ ซึ่งกำลังฟูพร้อมๆ กับการ work from home (แปลว่าในวิกฤตมีโอกาสเสมอ ถ้าอยู่ถูกที่ ถูกเวลา ถูกกับทักษะที่มีหรือหามารอไว้)   และที่เธอร่ำรวยมากๆ ในกรณีบ้านหรู …

Bangkok Train Station

เดือนธันวาคม 2564   สถานีรถไฟหัวลำโพงที่อายุกว่าร้อยปี ปิดใช้งานในการเดินรถไฟ  ในช่วงนี้อะไรๆ ในกรุงเทพ เปลี่ยนไปมาก กล่าวเฉพาะตึกรามอายุมาก  นับแค่ระยะใกล้ๆ นี้ ดุสิตธานีถูกรื้อไปก่อนแล้ว พฤศจิกายนโรงภาพยนต์สกาลาที่สยามสแควร์หายไปในชั่วพริบตา  ล้ง 1919 ก็ปิดแล้ว  มีความห่วงใยว่าสถานีรถไฟหัวลำโพงของเราจะเป็นอะไรต่อไปหนอ ขณะนี้ยังไม่เห็นภาพที่ชัดเจนจากกระทรวงคมนาคมและการรถไฟ หรือ กทม. คราวนี้ขอรวบรวมเรื่องสถานี โกดัง คลังสินค้าของรถไฟในปารีส ที่ปรับเปลี่ยนประโยชน์ใช้สอยไปอย่างดี มาเป็นอาหารตา และเผื่อเป็นอาหารสมองสำหรับผู้ที่สนใจด้วย   ปารีส:   จากสถานีรถไฟสู่พิพิธภัณฑ์ศิลปะเลื่องชื่อ  สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) ของเรามีรูปลักษณ์เทียบชั้นสถานีรถไฟในยุโรปได้เลย  ทำให้นึกถึงสถานีรถไฟ (ที่ใช้ไฟฟ้าเดินรถ)  d’Orsay ในปารีส ที่เปิดเมื่อปี ค.ศ. 1900 เนื่องในโอกาสมีนิทรรศการใหญ่ในปารีส เพื่อให้คนจากต่างจังหวัดได้มาชมงาน   หัวลำโพงของเรา อายุอ่อนกว่าเขา ๑๖ ปี (ก่อสร้าง ๑๙๑๐ เปิดใช้ ๑๙๑๖) Gare d’Orsay ปิดไปนานแล้ว แต่อาคารยังอยู่ในประโยชน์ใช้สอยใหม่  เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะชื่อ  Musée d’Orsay ผู้ชอบงานศิลปะจะรู้จักดี  ผู้ออกแบบอาคารสถานีรถไฟ +โรงแรม คือ VIctor Laloux   อาคารสถานีนี้โอ่อ่ามากราวกับหอศิลป์  แต่แล้วสถานีก็ล้าสมัยในเวลาไม่นานนัก เพราะชานชาลาสั้นไปสำหรับรถไฟยุคใหม่    ๓๙ ปีให้หลัง สถานีนี้ใช้สำหรับรถไฟไปชานเมืองเท่านั้น หลังจากนั้นก็คิดไม่ออกกันอยู่นานว่าจะเอาสถานีไปทำอะไรต่อไป  ใช้เป็นอาคารสำนักงานได้ไหม หรือรื้อทิ้งดีกว่า     ที่น่าสนใจสำหรับพวกเราคนไทยในเวลานี้ก็คือ ในปารีส สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ มาจนถึงกว่า ๒ ทศวรรษต่อจากนั้น  เป็นยุคชอบรื้อตึกเก่า สร้างตึกใหม่   ไม่ใช่ยุคของการบูรณะปรับปรุงของเก่านำมาใช้ใหม่   อาคารสถานีรถไฟแห่งนี้ก็เหมือนกัน ผู้ประกอบการรายใหม่ได้ใบอนุญาตสร้างโรงแรมขนาดใหญ่มาแล้ว แต่เกิดการพลิกผันเมื่อกระทรวงชื่อ Public Works, Transport and Housing ไม่อนุมัติการก่อสร้าง เพราะใหญ่เกิน สูงเกิน ความเหมาะสมกับภูมิทัศน์และประโยชน์ใช้สอยโดยรอบ   พอดีกับกระแสใส่ใจอาคารเก่าแรงขึ้น หลังจากที่รื้อ Les Halles ตลาดค้าเนื้อเก่าแก่ที่เหมือนเป็นกระเพาะของปารีสไปแล้ว (เคยดูหนังเรื่อง Can Can ไหมคะ ที่พระเอกไปทำงานแบกเนื้อสัตว์ตอนดึกดื่นนั่นแหละ)  มีคนเสียดาย และมีอาคารใหม่ทรงไม่มีเสน่ห์เอาเสียเลยผุดขึ้นมากลางกรุง อาคารของสถานี d’Orsay ก็เลยรอดมาได้แม้ว่าสถานีจะปิด โรงแรมจะปิดไปหมดตั้งแต่ปี 1973  ฝ่ายอนุรักษ์รีบเอาอาคารไปขึ้นทะเบียนรอเป็นตึกประวัติศาสตร์ควรอนุรักษ์ และมีเสียงเปรยๆ ว่า เป็นพิพิธภัณฑ์ดีไหม   ถึงปี 1978 อาคารนี้ก็รอดการรื้ออย่างแน่นอน เพราะขึ้นทะเบียนอนุรักษ์แล้ว และเป็นปีเดียวกับที่มีการประกวดออกแบบเพื่อเปลี่ยนสถานีรถไฟให้เป็นพิพิธภัณฑ์    รายละเอียดพร้อม ภาพสเก็ตช์ และภาพก่อนปรับปรุงของอาคารหลายภาพ เชิญชมจากลิงค์นี้   https://artsandculture.google.com/exhibit/from-station-to-the-renovated-musée-d-orsay/ARK7SK5T (เปิดดูเมื่อ 29 11 2021)   สารคดีย่อที่อ้างข้างต้น  ไม่ได้บอกกระบวนการทำงานของฝ่ายต่างๆ เพื่อให้เกิดพิพิธภัณฑ์ ตลอดจนผู้ริเริ่มคิดให้ประกวดแบบพิพิธภัณฑ์  จ้างนักตกแต่งภายใน เป็นลำดับมา ฯลฯ   จนเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะ ชื่อ  musée d’Orsay ในปี 2529 /1986      พิพิธภัณฑ์อยู่กลางปารีส คนละฝั่งแม่น้ำกับสวนตุยเลอรีย์ ซึ่งก็หมายความว่าเยื้องๆ กับพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ จะเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ที่งานจิตรกรรมแบบอิมเพรสชั่นนิสต์ชุมนุมกันอยู่สักครั้งหนึ่ง ต้องจองตั๋วล่วงหน้า ไม่ก็เข้าคิวเป็นชั่วโมง  อยากจะพบสาวสวยแก้มเปล่งปลั่งเป็นสีชมพูในงานเต้นรำของเรอนัวร์   Starry Night ของแวนโกะ   ภูมิทัศน์ของเซซาน หรือว่าสตรีถือร่ม กระโปรงปลิวในสายลม ของโมเนต์  …

Privacy and Personal Data Security:  ขอข้อมูลตัวตนของเรา แค่ไหนจึงจะพอ-ดี

ขอเกินจำเป็นไหม ตอนนี้บริษัทต่างๆ ขยันออกวอแรนต์  ต้องไปวุ่นกับเขาด้วยก็ตอนจ่ายเงินจองซื้อวอแรนต์นี่แหละ บริษัทที่เป็นผู้จัดจำหน่ายให้จองและจ่ายเงินออนไลน์ พอเข้าอินเทอร์เน็ตจะทำรายการ ก็ต้องผ่านด่านยืนยันตัวตนว่าเราคือเรา เขาขอตัวเลขเลเซอร์พรินต์หลังบัตรประชาชน  เอ๋  ก็ด้านหลังบัตรเขาสั่งไว้ว่าห้ามซีร็อกซ์ ห้ามให้ใครง่ายๆ ไม่ใช่หรือ   นี่จะเอาไปทางออนไลน์เลย  ขอเกินความจำเป็นไหม เราเป็นเจ้าของหุ้น เขาก็รู้ ใบแจ้งสิทธิจำนวนหุ้นเขาเป็นคนส่งมาให้เราเอง  หุ้นก็ไปเข้าบัญชีหลักทรัพย์ชื่อเรา   ไม่มีอะไรหลุดไปไหนได้ แต่ว่าทำไมตอนจะจ่ายเงิน เราต้องพิสูจน์ ว่าเราคือคนชื่อนี้ๆ   ไม่เข้าใจ    ทางเลือกคืออะไร  คือไปจ่ายเงินด้วยตนเองใช่ไหม   พอไปถึงถ้าเขาขอบัตรประชาชนไป เขาถ่ายเอกสารหน้าหลังเราก็ไม่รู้เลย และเท่ากับว่าเสียเวลาไปแล้ว เราก็ยังให้ข้อมูลเขาไปทั้งหมดอยู่นั่นเอง  กระนั้นก็ขอ “ตามไปดู” ว่าเรื่องจะเกิดอย่างที่คาดนี้หรือเปล่า แค่ด่านแรกก็…   ณ อาคารสำนักงานสูงใหญ่ใหม่เจี๊ยบ จะเข้าไปในอาคารเกินล็อบบี้ต้องไปพบกับเครื่องสแกนบัตรประจำตัวประชาชน  “ไม่ต้องห่วงครับ เสียบสแกนแล้วรับบัตรคืนได้เลย  อาคารไม่เก็บบัตรไว้”   พนักงานรักษาความปลอดภัยบอกให้อุ่นใจ (ฮ่า ฮ่า แต่ผมเก็บข้อมูลบนบัตรของคุณไว้ทั้งหมดไว้เลย)   มันแย่ยิ่งกว่าตอนต้องแลกบัตรเพื่อเข้าตึกเสียอีก  ตอนนั้นขึ้นอยู่กับว่าพนักงานรับบัตรคิดจะเป็นโจร และมีเวลาขโมยข้อมูลบนบัตรไหม  ตอนนี้เอาไปง่ายๆ สบายๆ ไม่ต้องพยายาม ตัวตนของเราทั้งดุ้นเลย เขาจะเอาข้อมูลเราไปทำอะไรอีกบ้าง เราไม่รู้เลย ในทางกลับกัน ถ้าเราคิดว่าฝ่ายอาคารไม่ซื่อ เราขออะไรหรือไม่ให้อะไรได้บ้างไหม บางแห่งให้กรอกเบอร์โทรศัพท์มือถืออีกด้วย ก็เจตนาดีว่าจะได้ตามตัวเจอเผื่อเราลืมของทิ้งไว้ (หรือรัดกุมเข้าไว้ เผื่อเราเป็นโจร) แต่ระบบธุรกรรมทางการเงินที่บอกว่าปลอดภัย รัดกุม เพราะใช้ทั้งบัตรประชาชนและมือถือพร้อมๆ กัน มันจะรัดกุมตรงไหนล่ะ  ใครก็ไม่รู้มีทางได้ข้อมูลชุดนี้ไปแล้วโดยง่าย ไม่ยอมให้บัตร ก็ต้องกลับบ้าน กลับมาทำสองอย่าง  ๑. ค้นข้อมูล  ๒. ทำใจ  หลานนักกฎหมายบอกว่า ทุกคนทำตามๆ กัน ก็มันมีเครื่องมาเสนอให้ใช้ ก็ต้องใช้เพื่อความทันสมัย ส่วนเครื่องเก็บอะไรบ้างและเอาไปใช้อย่างไร   ก็แล้วแต่บริษัทที่ดูแลเครื่อง  เรากลายเป็นคนอับจนหนทางจะดูแลตัวเอง   เหตุผลความจำเป็นที่ต้องส่งมอบข้อมูลส่วนบุคคลให้ผู้อื่น  (ขอบคุณหลานนาถ ที่หาข้อกฎหมายมาให้) ข้อ ๑.  “สถาบันการเงินต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. ๒๕๕๑ หลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด มาตรการในการรายงาน การแสดงตน และการตรวจสอบตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒ และมาตรการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทําลายล้างสูง พ.ศ. ๒๕๕๙ แปลว่าเราทุกคนต้องแสดงตัวตน เพื่อให้ตรวจสอบว่าเราไม่ใช่โจรและไม่ได้เกี่ยวข้องกับโจรแบบที่สามารถตรวจสอบพบได้  ข้อ ๒. พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๒ กำหนดว่า  “การเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลให้เก็บรวบรวมได้เท่าที่จำเป็น ภายใต้วัตถุประสงค์อันชอบด้วยกฎหมายของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล” เราน่าจะสบายใจใช่ไหมที่เราได้รับความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของเรา   แต่ถ้าเราเดินเข้าไปที่สถาบันการเงิน เราต้องส่งมอบข้อมูลทุกรายการให้กับสถาบันการเงินตามที่สถาบันการเงินกำหนด ถ้าจะเข้าตึกสูงทันสมัยหลายแห่ง เราก็ต้องส่งมอบตัวตนของเราด้วย  ถึงอยากจะโต้แย้งว่า  ข้อมูลที่กำลังเก็บไปนั้น เกินจำเป็น และไม่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล ก็คงได้แต่โต้แย้งกับยามและเจ้าหน้าที่หน้าตึก ​ซึ่งก็เปล่าประโยชน์ เพราะคงได้คำตอบว่า เป็นระเบียบของตึก   ใครจะเสียเวลาร้องเรียนบ้าง  และรู้ไหมว่าต้องร้องเรียนที่ไหน  เชื่อนะว่า สถานประกอบทุกแห่งเก็บข้อมูลเกินจำเป็นในกรณีปกติ  เก็บมากๆ เอาไว้ก่อน เผื่อต้องใช้ (เช่น เกิดกรณีก่อการร้าย หรือมีใครทำผิดกฎหมายร้ายแรงต่างๆ)   สมัยนี้เขาไม่ดูหน้า ไม่สังเกตท่าทีแล้ว เอาง่ายๆ งี้แหละ ไม่ต้องเลือกปฏิบัติ อธิบายง่ายกว่า ข้อ ๓  ยกตัวอย่างประกาศของ ก.ล.ต. มาประกอบ คือ   แนวทางปฏิบัติในการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำความรู้จักลูกค้า ก.ล.ต. ระบุวิธีการตรวจสอบข้อมูลหลักฐาน (verification)  ว่า  “นอกเหนือจากการตรวจสอบหลักฐานด้วยเครื่องอ่านบัตรแล้ว ผู้ประกอบธุรกิจต้องตรวจสอบหลักฐานกับผู้ออกหลักฐาน (issuing source) หรือแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ (authoritative source) เพื่อให้รู้ว่าหลักฐานนั้นใช้ได้ตามปกติ”    เช่น  ตรวจสอบบัตรประชาชนกับกรมการปกครองผ่านช่องทางออนไลน์ ด้วยการกรอกข้อมูลบนบัตรประชาชน ๕ อย่าง ได้แก่ ชื่อ นามสกุล …