India travel note: ขอมาก็ขอไป
อย่าปลงใจเชื่อโดยไม่ทบทวนไตร่ตรอง ใครที่ไปอินเดียแถวพิหาร (คือมคธ สมัยโบราณ) เพื่อนมัสการสังเวชนียสถาน มักบอกต่อๆ กันว่า ระวังคนรุมขอเงิน ยิ่งให้ยิ่งรุม ไปครั้งแรก ปี พ.ศ.๒๕๔๕ ไปครั้งหลังๆ เรื่องแบบนี้ค่อยๆ น้อยลง แต่ก็ยังมี สำหรับดิฉันหลังจากผ่านพ้นการเดินทางครั้งแรกแล้ว ครั้งต่อๆ ไปเมื่อไปพุทธคยาอีก ดิฉันมีอุบายในการจัดการกับเรื่องการขอเงิน วิธีแก้ปัญหา เกิดมาจากการไตร่ตรอง หยิบกาลามสูตร ๑๐ บางข้อ มาประยุกต์เพื่อกำหนดทัศนคติของตนเอง ๑. อย่าปลงใจเชื่อเพราะการอนุมาน Be not led by inference ๒. อย่าปลงใจเชื่อด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล Be not led by considering possibilities ๓. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ Be not led by seeming appearances ทั้งหมดนี้ช่วยลดนิสัยด่วนสรุปของตนเอง ให้สรุปช้าๆ ลงหน่อย ดิฉันคิดใหม่ว่า ๑. คนขอไม่ใช่ขอทาน ขอได้ก็ได้ ขอไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต (ดูได้จากเขารุมขอแต่นักท่องเที่ยวไทย ไม่เห็นไปรุมญี่ปุ่นหรือฝรั่ง) ๒. แขกมีนิสัยเซ้าซี้ เหมือนกับคนไทยมีนิสัย…. (เลือกเติมเอาเองค่ะ) ๓. ชอบรุม ไม่ว่ารุมดู รุมขาย รุมขอ (ก็คนมันแยะ และความสนใจใคร่รู้มีสูง) ภาพต่อไปนี้ ท่านอาจารย์วัดไทยพุทธคยาอธิบายอาทิตตปริยายสูตร ณ สถานที่ (ภาพ ๑) มีเด็กๆ อินเดียที่เล่นอยู่แถวนั้น มานั่งเรียบร้อยอยู่ใกล้ๆ (ภาพ ๒) ภาพนี้ ณ สถานที่ที่คนขับรถพามา เดาว่าเป็นหนึ่งในสัตตมหาสถานสมัยพุทธกาล ชนบทงดงาม เป็นหมู่บ้านของผู้นับถือศาสนาฮินดูแบบในอินเดียทั่วไป เด็กน้อยวิ่งตามมาดูอย่างอยากรู้อยากเห็น พอบอกให้เขารวมกลุ่มกัน จะถ่ายภาพให้ดู จึงได้ภาพนี้มา เด็กหญิงคนกลางมีแววจะเป็นสาวสวย ต่อไปนี้คือเรื่องสนุกๆ บางเรื่อง ๑. ขอค่าเปิดประตูวัด หลังงจากการเดินทางกับกลุ่มครั้งแรก ประมาณสองปีต่อมา ก็ไปอินเดียกับเพื่อนหนึ่งคน เราพักที่วัดไทยพุทธคยา เดินไปนั่งสมาธิที่ใต้ต้นโพธิ์ได้ทุกวัน วันหนึ่งจะเดินกลับวัด เด็กชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งยืนโหนประตูอยู่ เขากั้นทางไว้ “ค่าเข้าวัด ๑๐ รูปี” เพื่อนขำกี๊ก “อะไรกัน จะคิดค่าเปิดประตู ฉลาดมากไปหน่อยแล้วมั๊ง ประตูวัดแท้ๆ ไม่ใช่ประตูของเธอสักหน่อย” แล้วเธอก็สำทับต่อ “นี่ ฉันอยู่ในนี้นะ” เธอพูดภาษาไทยทั้งหมด แต่เด็กชายกระมิดกระเมี้ยนเปิดประตูให้โดยดี ไม่เข้าใจภาษาหรอก แต่รู้โดยท่าทางว่าแบบนี้ไม่ได้เงินแน่ ๒. รุมขาย วันรุ่งขึ้น เราอยากไปวัดป่าแต่ไม่รู้ทาง ก็เลยรับอาสาเป็นลูกศิษย์เดินตามพระที่จะออกไปบิณฑบาต ท่านบอกว่าท่านจะแวะไปที่นั่นก่อนกลับวัดไทยพุทธคยา เราใส่บาตรท่านนอกประตูวัด ตั้งใจโชว์คนอินเดีย พอเราใส่บาตรเสร็จ เด็กน้อยหลายคนก็เริ่มมารุมขายดอกบัวสายที่เขาถืออยู่คนละกำให้เพื่อนที่ไปด้วยกัน เห็นหน้าเพื่อนเหมือนลอยอยู่ท่ามกลางดอกบัวของพ่อค้าแม่ค้าตัวน้อยๆ “ดีที่ฉันตัวสูง ถ้าเป็นเธอ คงจมมิดอยู่ในดอกบัว” เพื่อนพูดขำ ดิฉันไม่โดนรุมเพราะใส่ชุดปัญจาบ แล้วทำเป็นไม่ใช่พวกเดียวกัน (ทิ้งเพื่อน) เด็กน้อยพยายามอยู่พักใหญ่ พอสรุปได้ว่าสตรีคนนี้ไม่ซื้อดอกบัวแน่แล้ว เขาก็นำดอกบัวไปใส่บาตร ต่างคนต่างใส่จนพูนฝาบาตร น่าจะคิดได้ว่ากุศโลบายใส่บาตรริมทางได้ผล หลวงพ่อท่านยิ้มๆ อนุโมทนาให้เด็ก ส่วนเพื่อนก็ตั้งหัวข้อปุจฉาว่า “ดอกบัวมาจากไหนไม่รู้” แล้วก็วิสัชนาเองว่า “แต่คงไม่ได้ซื้อมาขาย” เพราะคิดแบบไทยๆ ว่า ถ้ามีคนนำดอกบัวมาให้เด็กขาย เด็กก็ต้องพยายามขาย แต่ที่นี่เขาคงเก็บมาเอง ดังนั้นดอกบัวไม่มีต้นทุน ขายได้ก็ได้เงิน สนุกขึ้นมาก็ใส่บาตรแบบเรา ใส่แล้วก็ไปวิ่งเล่นกันเฉยเลย ไม่กลับมาวอแวอีก ๓. ขอทุนการศึกษา อีกวันหนึ่งเรานั่งสามล้อไปวัดไทยเนรัญชรา ระหว่างที่ดูสถูปที่ระลึกถึงนางสุชาดา ผู้ถวายข้าวมธุปายาสต่อพระโพธิสัตว์ก่อนตรัสรู้ เด็กผู้ชายวัยรุ่น ตัวสูง ๒ คนมาเดินประกบ คนหนึ่งพูด อีกคนหนึ่งเดินตามเงียบๆ ภาพสถูปนางสุชาดา และภูมิทัศน์โดยรอบ ภาพนี้ถ่ายปี พ.ศ. …