เปลี่ยนยุค– ผลัดแผ่นดิน
เดือนมีนาคม ปี พ.ศ. 2559 ดาวมฤตยูย้ายเข้าราศีเมษ อันเป็นเรือนลัคนาของกรุงเทพฯ และราศีเมษก็นับกันว่าเป็นลัคนาของโลกด้วย มฤตยูจะอยู่ในราศีหนึี่งๆ ประมาณ ๗ ปี ยอดธง ทับทิวไม้ ผู้เขียนตำราโหราศาสตร์เศรษฐกิจ การเมืองและสังคม กล่าวว่า ในแง่ของเศรษฐกิจการเมือง ภพที่ ๑ หรือภพที่ลัคนาสถิตหมายถึง ประชาชนของประเทศ ชีวิตจิตใจของประชาชน สุขภาพความเป็นอยู่ วิถีชีวิตและลักษณะเฉพาะของประชาชนในประเทศนั้น ส่วนคุณสมบัติของมฤตยู ได้แก่ความเบี่ยงเบนหรือเรื่องที่ไม่เป็นไปตามที่ควร หรือการเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึง และการเปลี่ยนแปลงสภาพต่างๆ ในลักษณะการปรับปรุงสิ่งเก่าๆ ขึ้นมาเป็นส่ิงใหม่ (deviation & transformation) นี่เป็นคำกล่าวอย่างกลางๆ ซึ่งอาจจะเป็นด้านสร้างสรรค์ที่ดี หรือเป็นด้านทำลายให้ร้ายกับดวงชะตาก็ได้ทั้งสองด้าน เช่นการเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหัน ในส่วนที่ดีคือการมีความคิดสร้างสรรค์ ความก้าวหน้า การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งใหม่ แต่ในส่วนที่ร้ายก็คือการไม่มีกฎมีเกณฑ์ ไม่มั่นคง ไม่มีความรับผิดชอบ ความวุ่นวายสับสน ความไม่สามารถจะไว้วางใจได้ เป็นต้น แม้ว่าตำราดาวที่มีอยู่หลายตำราจะให้วันเวลาที่ดาวใหญ่ๆ เคลื่อนย้ายราศีต่างๆ กัน แต่ก็ตรงกันในประเด็นที่ว่า ในช่วงเวลาที่มฤตยูอยู่ในราศีเมษ จะมีเหตุพลิกผันหลายประการที่กระทบถึงประชาชนบ้านเมืองและในโลกใบนี้ ผู้ที่เคาะอินเทอร์เน้ตให้บอกว่า มฤตยูย้ายมาเข้าราศีเมษ ปี ค.ศ. 1849 และปี ค.ศ. 1932 ถ้ามองย้อนอดีตเราก็อาจจะโยงเรื่องราวได้เหมือนกัน แต่ในเมื่อไม่มีความรู้ทางโหราศาสตร์ ก็อาจจะกลายเป็นการลากเหตุการณ์เข้าหาตำรา สิ่งที่มีผู้ชี้บอกก็ใส่ใจไว้สำหรับใช้ชีวิตและมองเหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลงรอบตัวอย่างเอาใจใส่มากขึ้นกว่าเดิม โดยคิดว่าเรากำลังอยู่ในยุคของการเปลี่ยนผ่านจากยุคหนึ่งไปสู่อีกยุคหนึ่ง การเปลี่ยนผ่านที่สำคัญเรื่องหนึ่งคือการปฏิวัติด้านเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตของคนอย่างไม่คาดกันมาก่อน เราพูดกันถึงไทยแลนด์ 4.0 โลกพูดกันถึงการมาถึงของคลื่นใหญ่ลูกที่สาม และยุโรปบางประเทศพูดถึงอุตสาหกรรม 4.0 หรือการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในงานอุตสาหกรรม ทางด้านการเมือง สหรัฐอเมริกาที่เน้นนักหนาเรื่องประชาธิปไตย แต่แสดงให้ชาวโลกเห็นว่าการหาเสียงเลือกตั้งประมุขและผู้บริหารสูงสุดของประเทศคราวนี้ไม่ต่างอะไรกับเกมโชว์สามัญ ชวนให้ rethink คำว่า “ประชาธิปไตย” ส่วนทางด้านการเมืองระหว่างประเทศ โลกกำลังตึงเครียดกับการประลองสงครามประสาทระหว่างประเทศยักษ์ใหญ่ ในเมืองไทยเราเอง ณ เวลานี้ดูจะไม่มีเรื่องใดสำคัญและมีผลกระเทือนต่อทุกคนมากเท่ากับการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ทรงเป็นดวงอาทิตย์ที่ทอแสงส่องสว่างให้ประเทศไทยมาเป็นเวลา ๗๐ ปี เริ่มตั้งแต่แสงอ่อนๆ แห่งอรุโณทัยเมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ จนถึงช่วงเปล่งแสงประกายเจิดจ้ายามเที่ยงวัน แม้บางครั้งบางคราวจะมีเมฆมาบัาง ก็เป็นเรื่องชั่วครั้งชั่วคราว ดวงอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนจนลับฟ้า สาดแต่แสงงดงามค้างไว้บนท้องฟ้า กลางคืนค่อยๆ คืบเข้ามา ในความสลัวราง ต่างคนต่างก็กวาดตามองท้องฟ้าเพื่อหาดวงจันทร์ ดวงดาว ไฟฉาย หรือแสงนำทางบางอย่าง ในใจก็รอการเริ่มขึ้นของวันใหม่ ที่อาทิตย์จะโผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมาอีกครั้ง หวังว่าคงไม่นาน และตะวันดวงใหม่ก็คงจะส่องสว่างให้ได้อุ่นใจอีกครั้ง การปิดยุคหนึ่ง คือการขึ้นต้นของอีกยุคหนึ่ง เวลาเช่นนี้เป็นเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่าน และในทุกครั้งแห่งการเปลี่ยนแปลง ย่อมมีสิ่งไม่แน่นอนเจืออยู่ด้วยเสมอ สิ่งนั้นจะดีหรือร้ายก็อยู่ที่เราแต่ละคนด้วยเหมือนกัน มีผู้เขียนย้อนรำลึกไว้ว่า ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ “หลังความสับสนช่วงเช้ามืดที่เกิดการปะทะกันระหว่างขบวนนิสิตนักศึกษาประชาชนกับกองกำลังติดอาวุธของทางการข้างพระราชวังสวนจิตรลดา ทรงเปิดวังให้นักศึกษาเข้าไปหลบภัย และเสด็จลงเยี่ยม” เหตุการณ์วันนั้นคือการพลิกผันของสถานการณ์ที่กำลังคับขัน ที่นำไปสู่การลาออกของนายกรัฐมนตรีในเวลานั้น ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าเป็นการปฏิวัติของประชาชนที่จบลงได้อย่างรวดเร็ว และสันติคืนมาโดยประเทศและประชาชนไม่ต้องประสบกับสงครามยืดเยื้อที่มีแต่จะนำความเสียหายยับเยินมาสู่ประเทศชาติ นี่คือช่วงที่ดวงอาทิตย์เปล่งประกายและยังความอุ่นใจให้กับประชาชน ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ เรียกกันในตอนนั้นว่าวันมหาวิปโยค ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๙ เป็นวันมหาวิปโยคอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นวันแห่งความเศร้าเสียใจเมื่อประชาชนกราบถวายบังคมดวงอาทิตย์ที่ลับโลกไปแล้ว ด้วยการ “น้อมเกล้ารำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้” ยุคเดิมสิ้นสุดลง ยุคใหม่ที่เริ่มก่อเกิดมาแล้วก็เริ่มเผยโฉมออกมามีบทบาท แต่ละยุคมีทั้งสุขและทุกข์ แต่ระหว่างยุคคือการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ การเปลี่ยนแปลงช่วงเปลี่ยนผ่านเป็นช่วงที่ยากลำบากและท้าทาย ซึ่งจะดีหรือร้ายต่อใคร หรือดีหรือร้ายในภาพรวมเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้และรอให้อนุชนเป็นผู้ประเมิน สำหรับผู้ที่อยู่ในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง ก็สุดแท้แต่ “ดวง” และ “กรรม” ของแต่ละคน นวพร เรืองสกุล ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๙