All posts tagged: Nawaporn Ruangskul

Digital Money ในการหาเสียงเลือกตั้ง 2566

ในการหาเสียงสำหรับการเลือกตั้งทั่วไป เดือนเมษายน ๒๕๖๖ พรรคหนึ่งนำเสนอว่าจะแจกเงินดิจิทัลให้ราษฎร มีผู้ส่งข้อเขียนหนึ่งมาให้ซึ่งผู้เขียนชี้แจงแสดงเหตุว่าถูกต้อง เหมาะสม ทันสมัย และอธิบายว่าเป็นนโยบายการเงิน  (เอาดิจิทัลมันนีที่หาเสียงไปโยงว่าเป็นบาทดิจิทัล ที่ธนาคารชาติกำลังศึกษาอยู่) อ่านแล้วกุมขมับว่าพูดอะไร (วะ)     ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไม่ได้  เพราะว่ารู้ และจำเป็นต้องชี้ การเมืองเรื่องนี้ “ธุระมันใช่”  ไม่เข้าใจ  รู้ไม่ทัน หายนะจะมาเยือน   วิชานี้ขอเรียกว่า เศรษฐศาสตร์ 100.1 มี ๓ หัวข้อ   ข้อ 1   เงิน เงินกระดาษ อีมันนี  ดิจิทัลมันนี เงินคืออะไร  คือสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ที่สังคมตกลงร่วมกันว่าจะใช้เงินนี้เป็นตัวกลางวัดค่าและแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าและบริการกัน    เบี้ยกุดชุม เป็นเงินในหมู่บ้านกุดชุม เงินบาทเป็นเงินในประเทศไทย จะไปใช้เงินนี้ที่อื่น ต้องแลกเป็นเงินที่สังคมนั้นๆ ยอมรับ  เงินมีหลายหน้าที่ [วันนี้เว้นเรื่องนี้ไปก่อน] สังคมทั่วไปในยุคที่ค้าขายกันมากๆ ใช้โลหะเงินหรือทองคำเป็นเงินตรา แต่สมัยที่เราเกิดมาก็รู้จักแต่เงินกระดาษ เท่านั้น   เงินกระดาษ ออกโดยธนาคารกลาง หรือรัฐบาลโดยกระทรวงการคลัง แล้วแต่แต่ละประเทศจะตกลงกันภายในประเทศนั้นเอง  (หยิบธนบัตรออกมาดูเลยค่ะ)  การจะออกเงินมาได้มีกฎหมายกำหนดไว้ ไม่ใช่ว่านึกอยากจะใช้เงินก็พิมพ์เงินออกมาดื้อๆ ง่ายๆ   เพื่อความสะดวกในการจับจ่ายใช้สอย เราไม่หอบเงินกระดาษไปเป็นฟ่อนๆ  (เว้นแต่บางกรณี)   แต่เอาไปฝากธนาคารพาณิชย์ไว้เป็นบัญชีเงินฝาก เมื่อต้องการใช้เงินก็ถอนเงินสด หรือใช้เช็คสั่งจ่าย สั่งโอนจ่าย สมัยนี้ใช้วิธีสั่งจ่ายทางอีเลิกทรอนิกส์ได้ด้วย   เงินอีเล็กทรอนิกส์มีหลายรูปแบบ ทดลองกันเรื่อยมาตั้งแต่เดบิตการ์ด และสุดท้ายไร้การ์ด เป็น App. ที่แทบทุกคนใช้ (และถูกมิจฉาชีพหลอกจนเงินเกลี้ยงกระเป๋าก็มี) รวมเงินในกระเป๋าสตางค์​ที่รัฐใส่เงินหรือร่วมจ่ายให้เมื่อผู้มีสิทธินำไปใช้จ่าย เช่น โครงการเที่ยวด้วยกัน คนละครึ่ง เป็นต้น สุดแท้แต่จะเรียกชื่อกันไปให้แตกต่าง แต่ทุกอันเหมือนกัน คือตั้งต้นที่มีเงินฝากในธนาคาร  เงินดิจิทัล เช่น บาทดิจิทัล หยวนดิจิทัล เงินนี้ไม่ต้องมีคนกลางรับฝาก เป็นเงินที่ล่องลอยอยู่เหมือนลม อยู่ได้เพราะไฟฟ้า  มืคือมี  ธนาคารกลางเป็นผู้ออก (ต่างจากเงินคริปโต หรือ crypto curency ต่างๆ ที่คนหรือนิติบุคคลพยายามออกมาใช้แทนเงิน โดยหาตัวสร้างความมั่นคงให้คนเชื่อมั่นต่างๆ กัน)    ตอนนี้หยวนดิจิทัลออกใช้แล้ว ส่วนบาทดิจิทัล ไทยเรากำลังศึกษากันอยู่  ***กติกาการออกเงินดิจิทัล เป็นแบบเดียวกับเงินกระดาษ***    ต่างกันที่ตัวเงิน  แต่ ไม่ต่างกันในวิธีการนำออกมาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ   เงินกระดาษออกมาทางไหน เงินดิจิทัลออกมาทางนั้น  เอาเงินกระดาษออกมาไม่ได้ เงินดิจิทัลก็ไม่ออกมาเช่นเดียวกัน  ดังนั้นกระเป๋าเงิน จะเป็นกระเป๋าหนังจรเข้ หนังควาย หรือ e wallet  หรือ digital wallet  ถ้าไม่มีเงินใส่เข้าไปก็เป็นแค่ “เป๋า” แห้งๆ   ข้อ 2  นโยบายการคลังกับนโยบายการเงิน กระทรวงการคลังกับธนาคารชาติเป็นคู่แฝดในการบริหารจัดการเศรษฐกิจ  มีการแบ่งงานกันทำ    ส่วนที่เหลื่อมกันก็คุยตกลงกันก่อน นโยบายการคลัง คือเรื่อง หารายได้จากไหน  จะใช้จ่ายอย่างไร  เงินไม่พอทำไง เงินเหลือทำไง  ก. รายได้มาจากภาษี ถ้าคิดจะลดภาษี แปลว่ารายได้ของรัฐจะลด  ขึ้นภาษี รายได้ของรัฐก็เพิ่ม (แต่ถ้ามากเกินไป ก็อาจได้ผลกระทบทางลบได้ เพราะคนหมดแรงทำงาน)  และต้องคิดว่าจะเพิ่ม/ลดให้ใคร  เพราะมีผลกระทบอีกหลายเรื่องตามมา (หมายถึงภาษีเงินได้นะ  ภาษีมูลค่าเพิ่มไม่ต้องคิด เก็บแค่น้ีก็ต่ำมากแล้ว)       ข. รายจ่ายอยู่ในกรอบของงบประมาณรายจ่าย  นักการเมืองแย่งกันทำหน้าที่นี้กันจัง ขอเพิ่ม ขอย้ายงบเข้าท้องถิ่นตน  ขอตัดงบที่ตัวไม่เกี่ยวหรือไม่ได้หน้า   นักการเมืองชอบลดภาษี และชอบเพิ่มงบประมาณรายจ่าย  ทำให้เกิดการชักหน้าไม่ถึงหลังเป็นประจำบางประเทศจึงผูกงบประมาณสองด้านนี้ไว้ด้วยกัน จะเพิ่มรายจ่าย ต้องพิจารณาเรื่องเพิ่มภาษีไปพร้อมกันด้วย  …

เยาวราช: เที่ยวจนอิ่ม

รถไฟฟ้าใต้ดินเปิดสถานีมังกรใหม่ๆ ปี ๒๕๖๒  เพื่อนร่วมชั้นเรียนที่โรงเรียนมัธยมพาทัวร์ถิ่นเก่าตามคำเรียกร้องของเพื่อนนอกถิ่น  ผู้ช่วยกันนำทัวร์มี ๓ คน คนหนึ่งอยู่เจริญกรุง คนหนึ่งอยู่เยาวราช คนหนึ่งอยู่ทรงวาด  รถตู้ของเพื่อนเยาวราช แวะรับเพื่อนที่เหลือตามทางผ่าน ออกจากจุดสุดท้ายที่ธนาคารกรุงเทพฯ สาขาหัวลำโพง  ส.ว. ๗ คนก็เริ่มรายการทัวร์เยาวราช  จุดแรก ลงหน้าร้านหลงโถว ร้านคูหาเดียวจัดได้ประหยัดเนื้อที่มากที่สุด เข้ากับนิยาม physical distancing ช่วงคุณโควิด-๑๙ มาอาละวาดพอดีเลย  ร้านนี้อยู่ตรงข้ามโรงหนังเฉลิมบุรีที่รื้อไปแล้ว เราจะไปกินกาแฟ (และเข้าห้องน้ำ)  แต่แล้วทุกคนก็ต้อง “ถอยดีกว่า ไม่เอาดีกว่า” เพราะร้านมีลูกค้าหลายโต๊ะแล้ว ที่นั่งไม่พอ สำหรับ ๗ คน ใครที่กลัวไต่บันไดไม่ไหว ไม่ต้องกลัว พวกเราลองมาแล้ว เข้าห้องน้ำเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง เจ้าถิ่นก็เลยรีบพาเข้าร้านน่าสนใจที่ใกล้ที่สุดคือ ร้านเต้าทึงใส่บะหมี่  เร่ิมกินละ  นี่เป็นมื้อสาย  กลับมาขึ้นรถไปโรงเรียนเผยอิง ถนนทรงวาด ถึงจะมีป้ายให้เดิน ก็เดินไม่ไหว ออกจากโรงเรียนเผยอิง ใครสักคนหนึ่งรำลึกความหลังว่าสมัยนั่งรถไปโรงเรียนผดุงดรุณี-โปร่งใจ รถโรงเรียนแวะรับเพื่อนอีกคนแถวนี้ ก็เดินเรื่อยไปจนเจอล้ง เขาตกลงเห็นพ้องกันว่า ที่นี่แหละ  (เออ เขาคิดได้ไงนะว่าเพื่อนจะยังอยู่ตรงนี้ ทั้งๆ ที่คนที่ระลึกความหลังนั้นแต่ละคนย้ายที่กันไปหมดแล้ว) คนไม่ได้ตามหาเพื่อน ได้ชมล้งสวยๆ หนึ่งหลัง ยังใช้งานอยู่แต่ทรุดโทรมมาก ​ วางผังสไตล์เดียวกับล้ง 1919  ทางฝั่งธนฯ ที่ได้แปลงโฉมไปทำกิจกรรมอื่นแล้ว  ไม่ใช่ที่เก็บสินค้าพักรออีกต่อไป  พนักงานสาวคนหนึ่งออกมาคุยด้วย เธอเล่าให้ฟังว่าต้นไม้ใหญ่ที่เราเห็นอยู่นี่คือต้นนุ่น อยู่มาร้อยปีแล้ว (มั๊ง) เวลาฝักนุ่นแตก จะมีปุยนุ่นสีขาวลอยฟ่องทั่วบริเวณ   คนโรแมนติกนึกถึงหิมะตกงดงาม คนอยู่ในพื้นที่บอกว่า “หายใจไม่ออกเลยค่ะ”  เธอแนะนำให้เดินไปชิมห่านพะโล้ ร้านอยู่ใกล้ๆ นี่เอง เต้าทึงยังย่อยไม่หมดแต่พอเห็นว่าเป็นร้านอุไร ห่านพะโล้  คนที่รู้จักก็ตาวาว  “วันก่อนน้องชายฉันขับรถมาซื้อ ยังไม่ ๑๑ โมง หมดแล้ว วันนี้ ๑๑ โมงกว่ายังเหลือห่านอยู่ครึ่งตัว กินเถอะ”  “แล้วเที่ยงจะทำยังไง จองภัตตาคารไว้แล้วนะ”   “คิดว่าเป็นอาหารมื้อก่อนเที่ยงเรียกน้ำย่อย  อย่ากินเต็มกระเพาะ เดี๋ยวค่อยไปเติมให้เต็มตอนเที่ยง” ก็ไม่มากหรอก เป็ดครึ่งตัว + + +   นั่งกินห่านอยู่บนถนนหน้าร้าน ตาก็ชมกิจกรรมบนถนนทรงวาดไปด้วย  ถนนทรงวาดคือถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา  แถวนี้ถึงท่าน้ำราชวงศ์ เรือสินค้าระหว่างประเทศสมัยพ่อและเรือขนส่งสินค้าไปกลับภาคตะวันออกของไทยตามแนวฝั่งอ่าวไทยในสมัยที่เพื่อนๆ ยังเด็ก เทียบจอดรับส่งสินค้าขวักไขว่ สองฟากของถนนทรงวาด เป็นโกดัง และโกดังยังเรียงรายเข้าไปในซอกซอยเล็กๆ อีกด้วย ทุกวันนี้ก็ยังเป็นย่านค้าส่งอยู่ เราเห็นของแต่ละอย่างบรรจุมาเป็นหีบๆ ขนผ่านไปมา อาคารใหญ่ซ่อนตัวอยู่ด้านใน เช่น มัสยิดหลวงโกชา  สไตล์อาคารคงจะร่วมสมัยกับโรงเรียนเผยอิง อาคารเก่าอีกบางหลังเรียงรายหันหน้าเข้าแม่น้ำ ในเวิ้งที่มีเจ้าแม่กวนอิมยืนอยู่ริมแม่น้ำ มีร้านโชว์เวสป้าเก่า คนชอบเวสป้าเดินชมจนลืมร้อน มีพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นอยู่ในอาคารเก่าในบริเวณโรงเรียนของวัดปทุมคงคา ทราบว่ามีการแสดงเรื่องราวของชุมชนในเขตสัมพันธวงศ์ อาคารนี้สวยงามทั้งด้านนอกและภายใน  แต่ไม่ได้ชมเพราะปิดปรับปรุง มาคราวก่อนโน้นหลายปีมาแล้ว ก็ปิดวันเด็ก  คงต้องรอโอกาสเหมาะๆ ต่อไป   เพื่อนที่ยืนรอให้เข้าไปสำรวจพิพิธภัณฑ์ ได้เจรจาหาข้อมูลกับครูในโรงเรียนจนรู้ว่าเมื่อไหร่จะเปิดใหม่ และครูบอกว่านำชมพื้นที่ได้ด้วย  รอบนี้ดูได้แต่วัดอีกฝั่งถนน ซึ่งก็มีประวัติน่าสนใจ แต่แดดใกล้เที่ยงแรงจัดจนหมดแรงแล้ว และถึงเวลาต้องไปร้านตามที่จองไว้  เจ้าของรถจึงเรียกรถตู้ให้โฉบมารับ จุดหมายคือภัตตาคารแต้จิ๋ว อาหารมาเพียบ ทั้งปลา ทั้งกุ้ง และเต้าหู้ทอด ซึ่งเจ้าถิ่นบอกว่า น้ำจิ้มของเต้าหู้ทอดแบบนี้ เป็นแบบแต้จิ๋ว  อิ่มกันเรียบร้อย เจ้าถิ่นเจริญกรุงชวนไปกินลอดช่องสิงคโปร์เป็นของหวาน แต่ทุกคนกระเพาะล้นแล้ว  จึงขอลาเรื่องอาหารเพียงแค่นี้ ได้แต่เดินผ่านแวะเวียนดูโน่นดูนี่ แล้วก็เลี้ยวเข้าร้านขายอุปกรณ์ทันตกรรมเพื่อนจากเจริญกรุงอยู่ที่นี่  ซึ่งเคยเป็นร้านทันตแพทย์เก่าแก่ของคุณปู่​ซึ่งเป็นทันตแพทย์รุ่นแรก (ถ้าไม่ใช่คนแรก) ของเมืองไทย  นั่งพัก นั่งคุย  นักซื้อแสดงความสามารถช็อปได้แม้ในร้านขายอุปกรณ์ของหมอฟัน  “ขวดแก้วพวกนี้ หมอฟันเขาใช้ใส่ยา ตัวก็เป็นแก้ว จุกก็เป็นแก้ว ไม่ต้องกลัวน้ำยากัดกร่อนพลาสติกหรือโลหะ  เธอซื้อไปทำอะไร”  “ก็เอาไปใส่ยา  ยาที่มีแอลกอฮอล์ผสม”  !!!!     …

Super SWOT analysis 2020

SWOT analysis  คือการวิเคราะห์ประเมิน ๔ ด้าน สองด้านเป็นเรื่องภายในของเราเอง กับอีกสองด้านเป็นเรื่องจากภายนอกที่จะมากระทบถึงเรา S  (Strength) ข้อเด่น อะไรดี  อะไรที่จะใช้ประโยชน์ได้ ที่จะผลักดันให้ก้าวหน้า พึงรักษาไว้แล้วทำให้ดียิ่งขึ้น W (Weakness) ข้อด้อย อะไรเป็นจุดอ่อน อะไรที่ฉุดรั้ง พึงหาทางลด หรือ ละไป  O (Opportunity) โอกาส เป็นสิ่งพึงแสวงหาโอกาส หรือรอ หรือสร้าง ที่จะใช้ข้อเด่นของเราให้เต็มที่ T (Threat) สิ่งคุกคาม เป็นสิ่งพึงระวัง หลีกเลี่ยง หรือขจัด เพราะสิ่งนี้ถ้ากระทบจุดอ่อนของเรา เราจะแย่ ถ้ากระทบจุดแข็งก็จะบั่นรอนให้จุดแข็งด้อยลง  วันนี้จะพยายามยกเฉพาะเรื่องภายในของเราก่อน (S กับ W)  ส่วน O กับ T คงได้ยินได้ฟังกันทั่วไปแล้ว และเขียนไว้บ้างแล้วในเรื่อง New Normal?  คราวหน้าก็เลยไปพูดถึงว่าเราจะรับมือกับสิ่งคุกคาม และฉวยหรือสร้างโอกาสดีๆ ได้อย่างไร  ซึ่งมีคนอาสาจะช่วยคิด โดยจะลองเสนอสำหรับภาคเศรษฐกิจ ๒ ภาค   ข้อด้อย  ๑.   ทัศนคติและคุณภาพของคน  ไม่คิดอย่างเป็นระบบก่อนลงมือทำ ไม่ชอบวางแผนระยะยาว แม้จะคิดเขียนแผน ก็ไม่ทำตามแผน   เริ่มมีค่านิยมในการโวยวาย เรียกร้องประโยชน์จากรัฐโดยไม่ทำงาน เลือกงานทั้งๆ ที่ไม่มีคุณสมบัติเหมาะสม หนักไม่เอา เบาไม่ค่อยสู้ ได้คืบเอาศอก และเมื่อลืมตัวปล่อยให้ความอยากเข้าครอบงำ เวลาแจกของก็แย่งชิงไม่ว่าของนั้นจะมีค่ามากหรือน้อย อคติสูงมาก ยิ่งมี social media ที่เขียนก่อนคิด คนจำนวนหนึ่งกลายเป็นคน อ่านหาเรื่อง ฟังหาเรื่อง  ฉันทาคติ ถูกใจสำคัญกว่าถูกต้อง (มีพวกพ้อง ใช้ระบบคนรู้จัก จุดยืนร่วมกับพรรคพวกสำคัญที่สุด) เหตุผลสามารถถูกบิดเบือนจนกลายไปเป็นตรงกันข้ามได้   นิยมชมชื่นคนพูดเก่งว่าเป็นคนเก่ง จนไม่ใส่ใจผลงานแท้จริงของคนที่ตนชื่นชม​  ในทางกลับกันก็ทำให้คนทำงานเสียกำลังใจ เพราะไม่เป็นที่รักที่ยกย่องเหมือนคนพูดเก่ง สังคมจึงเต็มไปด้วยคนพูดมากกว่าคนทำ   ชอบของนอก ไม่ว่าจะเป็นงานจัดซื้อหรือการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคส่วนตัว  ประเทศได้ส่งคนไปเรียนหนังสือเมืองนอกมากมาย กลับมาก็ไม่ได้ให้ใช้ความรู้เต็มกำลัง หลายส่วนงานยังคงจ้างต่างประเทศมาทำโน่นทำนี่ หรืออ้างต่างชาติในเรื่องโน้นเรื่องนี้ (นับเป็นข้อ ภยาคติได้ด้วย เพราะถ้าไม่มองประเทศอื่น กลัวจะแปลกพวก)  โทสาคติ  เมื่อลำเอียงเข้าข้างใคร คนอื่นจะถูกจัดว่าเป็นฝ่ายตรงข้าม ลำดับความขัดเคืองใจมักเริ่มด้วยการติเตียนผู้อื่น เพื่อยกฝ่ายของตนขึ้นมา ไม่มีการแข่งกันดี  ลำดับสูงขึ้นไปคือการปัดแข้งปัดขา  ถูกครอบงำด้วยอิจฉาริษยา และเมื่อโกรธแล้วก็อาฆาตแบบ “ข้ามภพข้ามชาติ”  ค้านกันในเรื่องงานด้วยเหตุผล กลับโกรธเกลียดเป็นเรื่องส่วนตัวและถือว่าเป็นคนละพวก บางพวกทำเนียน ทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัวเอง บางพวกแสดงออกโจ่งแจ้ง เช่น ด่าอย่างเดียว  สามารถสรรหาหรือประดิษฐ์คำขึ้นมาด่าได้รุนแรง หยาบคาย ไม่ซ้ำไม่ติด มากยิ่งกว่าภาษาอื่นใดที่รู้จักกันทั่วไป  ความชอบตินี้ ติทั้งบุคคล ติทั้งสังคม เช่น ชอบด่าประเทศตัวเองว่าไม่ดีอย่างโน้นอย่างนี้ สมเหตุสมผลบ้าง ไม่สมเหตุสมผลบ้าง ด่าแล้วบางที่เราก็เชื่อกันเอง บางครั้งต่างชาติก็เลยพลอยเชื่อไปด้วย        ภยาคติ กลัวโดดเดี่ยว และเลยไปเป็นการกลัวเด่น ดังข้อคิดที่ว่า “จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครเขาอยากเห็นเราเด่นเกิน” เพราะอคติ ๒ ข้อแรกที่แรง ทำให้มีความต้องการเป็นพวกพ้อง มีกลุ่ม มีเครือข่ายสูงมาก ความ “ไม่กล้า” “กลัวเขาโกรธ” เป็นหนึ่งในเหตุผลหลักในการอธิบายการทำ หรือไม่ทำอะไร โมหาคติ เป็นตัวแทรกอยู่ในอคติอีก ๓ ข้างต้น ทำให้ไม่พูดกันหรือรับฟังกันด้วยเหตุด้วยผลก่อนตัดสินใจตามเนื้อผ้า  ๒.  คุณภาพของระบบงาน เรามักไม่สนใจระบบ ไม่ให้ความสำคัญกับระบบ  ถ้าสร้างระบบขึ้นมา ก็มักจะให้ผู้น้อยเป็นคนสร้าง จึงได้ระบบงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ  ประเมินผลไม่ได้ ผลที่ตามมาคือ มีการประชุมแล้วประชุมเล่า เยิ่นเย้อ ซ้ำซ้อน  ไม่มีการทำการบ้านก่อนมาประชุม ประชุมแล้วไม่ออกไปทำตามมติ …

แล่นรถไปกลางทะเล!?! 

อยู่เนเธอร์แลนด์ตั้งหลายวัน  ไม่รู้ว่าห้างสรรพสินค้าอยู่ไหน  สงสัยเดินผิดที่  เอ… หรือว่าคนดัทช์เขาไม่ช้อปปิ้งกันเป็นงานอดิเรกก็ไม่รู้    วันนั้นคิดถึงช้อปปิ้งมาก ก็เลยขับรถไป outlet  ที่ Lelystad ขับรถในเนเธอร์แลนด์นี่แสนสบาย  ๑. ไม่เสียค่าผ่านทาง ๒. ทางหลวงที่นี่ขึ้นลงง่าย ไม่ค่อยมีทางที่วนๆ แบบวงกลม มีแต่ค่อยๆ ลาด ค่อยๆ เลี้ยวแบบไม่ค่อยรู้ตัว ทางแยกเหนือใต้ออกจากตะวันออกตะวันตก เราขับแบบขับผ่านทางแยกเป็นสองง่าม เท่านั้นเอง งานออกแบบทางเก่ง ๓. มีวงเวียนเล็กบ้างใหญ่บ้างแทบทุกสี่แยก และยังตีเส้นให้รถเข้าวงเวียนให้ถูกช่องอีกด้วย รถจะเลี้ยวก่อนอยู่เลนนอก รถเลี้ยวครึ่งวงเวียนขึ้นไปอยู่วงในตั้งแต่แรกเข้าวงเวียน   วงเวียนช่วยสลับรถที่แล่นมาถึงสี่แยก และเป็นตัวช่วยชะลอความเร็วของรถทางตรง รถไม่กระดอนขึ้นลงเหมือนกับการใช้ bumper ขวางทางเพื่อชะลอรถ และรถไม่ต้องติดไฟแดงขณะที่ไม่มีรถอื่นสักคันที่ทางแยกนั้น  มีเรื่องตื่นเต้นระหว่างอยู่ในรถ คืออยู่ดีๆ ก็มีเสียงดังลั่นขึ้นมาในรถ  รถเสียเหรอ เสียตรงไหนเสียงถึงดังลั่นอย่างนี้  แต่ indicator บนหน้าปัด ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ  เลิกลั่กขลุกขลักพยายามหาอยู่ในรถคันกระจิ๋วหลิว แต่แล้วเสียงก็เงียบไป  แต่เราก็ขับไปอย่างใจตุ๊มๆ ต่อมๆ  ว่ารถเป็นอะไร จนกระทั่งถึงที่แวะรถได้ ก็ลงไปสำรวจ สำรวจโทรศัพท์ก่อนเพื่อนเพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่สามารถส่งเสียงได้ ก็เห็นข้อความปรากฎที่หน้าจอ แจ้งว่ารัฐบาลทดสอบว่าสัญญาณเตือนภัยที่รัฐส่งแจ้งเตือน ครอบคลุมมือถือทุกเครื่องไหม  แถมมี เว้ปไซต์ให้กดเข้าไปดูรายละเอียดด้วย นี่คือการเตรียมความพร้อมของภาครัฐ  เพื่อประชาชน Outlet นี้ มองซ้ายก็เสา มองขวาก็เสา คล้ายๆ กับจะให้เราเข้าไปอยู่ในดงเรือ แถมลานนั่งก็กว้างขวาง แต่วันนี้แดดร้อนนัก ไม่มีใครมานั่งอาบแดดสักคน     ร้านยี่ห้อแต่ราคาถูก (เพราะเป็น outlet + ค่าเงินบาทที่แข็งขนาดว่า 1 ยูโร ไม่ถึง 35 บาท)  ไปตอนเช้า คนยังไม่มาก ได้เดินซื้อของอย่างสนุก    มาคราวนี้เที่ยวปอร์ตุเกส กับเนเธอร์แลนด์ ได้ทบทวนประวัติศาสตร์ว่า ใครเป็นเจ้าอาณานิคมไหน อยู่ที่นี่ outlet ชื่อ Batavia  (ชื่อฝรั่งตั้ง) คือจาร์การ์ตาปัจจุบัน  และอาหารตามชั้นวางของในซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ออกกลิ่นอายตะวันออก จะเป็นอาหารอินโดนีเซีย ที่นี่มีประติมากรรมประหลาดสองชิ้น (เท่าที่เห็นเพราะมันกว้างเกินจะเดินได้ทั่ว)  อันหนึ่งเป็นรูปหัวคน สีขาวจั๊วะ โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินที่ทาสีฟ้าให้เป็นเหมือนน้ำ แล้วมีคนตัวเล็กๆ ยืนอยู่บนหัวนี้  เดาเอาเองนะว่าศิลปินดังต้องการสื่ออะไร       อีกอันหนึ่งเป็นโครงโปร่งรูปคนกำลังนั่ง……​ทำอะไรคิดเอาเองนะ คุณคนนี้นั่งอยู่บนสันเขื่อนกันน้ำ ซึ่งมีอยู่มากมายหลายเขื่อน เพราะเนเธอร์แลนด์ เป็นเมืองฐานน้ำ เขาอยู่กับน้ำอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย  ต่างคนต่างเคารพซึ่งกันและกัน ยกเว้นคุณคนนี้แหละ  outlet แห่งนี้มีที่จอดรถสุดลูกหูลูกตา กว่าจะเดินจากร้านค้ามาหารถก็เหนื่อย แวะเช้าห้องน้ำที่ outlet ก่อนเดินทางต่อ               นี่คือป้ายริมผนังทางเดินไปห้องน้ำ ภาพชัดเจนมาก และช่วยให้ซอกทางเข้าดูไม่แคบ ไม่ทึบ      แล่นรถต่อไป เจอสะพานกำลังเปิด     สะพานเปิดนี่ดูวันแรกก็ตื่นเต้นดี แต่ดูทุกวันเริ่มชิน เหมือนดูไฟเขียวไฟแดง  เพราะสะพานเปิดบ่อยๆ  เรือและการเดินทางทางน้ำยังไม่ได้หายไปจากประเทศนี้   เห็นสะพานเปิดกลางยกแยกเป็นสองด้านก็มี หรือยกทั้งสะพานไปด้านเดียวก็มี  บ้านเราเคยมีสะพานพุทธฯ กับสะพานกรุงเทพฯ ที่เคยเปิดได้ แต่ตอนนี้เรา ใช้วิธีสร้างสะพานให้สูงลิ่วแทน  และเรือสูงใหญ่ ก็ไม่เข้ามากรุงเทพฯ แล้ว  ของเขาทั้งสะพานและคลองยังมีชีวิต   เราจอดรถลงไปนั่งชมน้ำกันที่พื้นที่ลาดค่อนข้างกว้าง  ริมสระใหญ่ (หรือแอ่งน้ำใหญ่)  นึกถึงอุทยานจุฬาฯ ร้อยปี แบบนี้คงไว้เป็นที่รับน้ำ เผื่อน้ำสูงบางเวลา ก็จะท่วมที่ลาดตรงนี้ก่อนถึงถนน นั่งเล่นชมวิวอยู่สักพัก ตาก็สอดส่ายหาเรื่องทำอันดับต่อไป   เอ๊ะ… ตรงโน้นเป็นถนนนะ เห็นรถวิ่งมาได้  สงสัยว่าเป็นถนนบนสันเขื่อน ไปดูกันไหม  พอเผลอตัวขับรถไปบนถนนที่ว่าแล้ว ที่จะกลับหลังหันก็ยาก  มีที่ให้แวะจอด จะชมวิวหรือกลับรถก็คงได้ แต่ใจหนึ่งก็รู้สึกว่ากลัวไม่เข้าท่า สองคนก็เลยเดินหน้าโลด เวลาโพล้เพล้ นานๆ มีรถสักคัน สงสัยว่าถนนจะพาเราไปสุดทางแล้วต้องกลับทางเดิมหรือเปล่า  สองข้างทางเห็นแต่น้ำเวิ้งว้าง ไม่รู้ว่าข้างไหนเป็นมหาสมุทร ข้างไหนเป็นส่วนที่ติดกับแผ่นดิน  เอาไงดี คนไม่ได้ขับรถต้องหัดเปิด จีพีเอส อ่านค่าออกมาว่า เขาบอกว่าใช้เวลา ๑๓ ชั่วโมง!  เราต้องขับทั้งคืนเลยเหรอ จะต้องไปหาที่นอนเอาข้างหน้าไหม …

สุขที่ได้ทำ

สะพานแห่งนี่มีแปลกตรงที่วงกลมที่ราวสะพานหุ้มด้วยไหมพรมถัก  ใครนะช่างทำ   จากสถานีรถไฟอัมสเตอร์ดัม ตึกของ EYE Film Institute ดึงดูดให้เท้าก้าวเดินไปทางนั้น  แล้วก็พบว่า อาคารอยู่อีกฟากฝั่งของลำน้ำ​ แว่วเสียงบอกว่า “ขึ้นเฟอรี่ฟรี”  จึงเดินผ่านสะพานที่ทอดถึงเรือ เข้าไปยืนเกาะราวที่กราบเรือลำกว้าง  นี่เป็นเรือข้ามฟากที่บรรทุกคนไปจนถึงรถ (คราวนี้มีแต่จักรยาน สองล้อ สามล้อ ไม่สนับสนุนรถยนต์)  เมื่อเฟอรี่ก็เทียบท่า ทั้งคนทั้งจักรยาน หลั่งไหลออกมาจากท้องเรือ จากรางมาต่อเรือ หรือจากล้อมาถึงเรือ  ง่ายมากๆ ขอให้ทางการคิดให้ครบจบวงจรของการเดินทางแบบไม่ใช้รถยนต์ ราวสะพานมีวงกลมตรงคอสะพานทั้งสองด้าน  เป็นทางนำไปสู่ลานกว้าง หน้าสถาบันภาพยนตร์   ผู้คนเริงร่าถ่ายภาพตนเอง  respond กับ ตัวอักษร I amsterdam    เป็นที่ที่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ได้แสดงท่าสร้างสรรค์แบบนักแสดงด้วยตนเอง ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์แสดงอะไรบ้าง เมื่อไหร่ อ่านได้จากบอร์ดดิจิทัล แผงนี้ แต่วันนี้เล่าไม่ได้ เพราะกำหนดการแน่นเอี้ยด แค่ได้มานั่งกินอาหารในตึก และกินลม ชมวิวเมือง ก็ใช้เวลาไปเป็นชั่วโมงๆ   การเดินทางไม่ต้องรีบร้อน แค่ได้รับความรู้สึกไปทุกย่างก้าวก็พอใจแล้ว ออกมาจากพิพิธภัณฑ์ เจอคุณย่าคนหนึ่งกำลังนั่งทำงานกับไหมพรม จึงเร่เข้าไปดู ที่อยากรู้ว่า ใครเอาไหมพรมมาสวมให้วงกลม สวมอย่างไร คำตอบอยู่ตรงหน้านี่เอง  คุณย่าเล่าว่า “วันนี้มาคนเดียว เอาไหมพรมมาสวมให้วงกลมอีกวง   ที่ทำมาแล้วทั้งหมด คลับสตรีช่วยกันทำ” “ถ้าขาดวิ่นไป เราก็กลับมาซ่อม” ลืมถามไปว่า ต้องขออนุญาตทางการเจ้าของสะพานหรือเปล่า คงต้องขอละน่ะ ทำอะไรผิดกฎหมายไม่ได้ แต่รัฐบาลดัทช์ใจกว้าง แค่นี้คงยอม สะพานสวยแปลกตา และคนแก่ก็มีความสุขที่ได้ทำอะไรเล็กๆน้อยๆ เท่าที่สามารถ ให้กับเมืองที่ตนอยู่  ไม่มีอะไรเสีย “แล้วรถที่ขี่มานี่ คุณย่าซื้อมาจากไหน อยากได้บ้าง” “อ๋อ   หมอเป็นคนวินิจฉัยว่า ต้องใช้รถ  รัฐบาลก็ให้รถมา” “ดีอะไรอย่างนี้ สวัสดิการดีมากเลย” “come and live here” ย้ายมาอยู่นี่ซิ คุณย่าจากเนเธอร์แลนด์ ชวน “ฉันชอบประเทศของฉัน ให้ย้ายไปไหน ไม่เอาหรอก อยู่นี่สุขสบายดี” ขอบคุณคุณย่ามาก ที่คุยกับคนแปลกหน้าอย่างอารมณ์ดี คนดัทช์ที่ได้พบในการเดินทางครั้งนี้ gentle and nice ทุกคน แต่กับคำชวนนั้น คุณย่าจากเมืองไทยสั่นหัวดิกๆ   “คงทำอะไรแบบคุณย่าแหม่มไม่เป็น และที่สำคัญ รัฐบาลเนเธอร์แลนด์คงไม่รับคนต่างชาติขออพยพ ที่อายุคนรุ่นราวคราวคุณย่าหรอกค่ะ” (เปลืองงบประมาณของเขา)  ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของการได้ทำ ดีต่อใจมาก คุณย่าคงจะนั่งทำงานไป ดูคนเดินผ่านไปมาไปด้วยแบบผู้สูงอายุทั่วไป ที่ชอบดูชีวิตที่ผ่านไปมา ได้เห็นเด็กๆ วิ่งเล่นซนประสาเด็ก หนุ่มๆ สาวๆ เดินคุยหรือขี่จักรยานผ่านไป  เมื่อทบทวนภาพถ่ายย้อนหลังก็พบว่า  คุณย่าขี่รถปะปนอยู่กับคนอื่นๆ มาตั้งแต่ลงจากเฟอรี่แล้ว เพียงแต่ตอนแรกนั้น เราไม่ได้สังเกตและไม่ได้สนใจ จนกระทั่งมาสะดุดตาเอาที่ผลงานของคุณย่า  และคุณย่าคงจะแอบปลื้มนิดๆ ที่มีคนหยุดชื่นชมผลงานของคุณย่าและเพื่อนๆ     คุณย่าไม่ปล่อยให้ความกลัว “คนเขาว่า” หรือความ “ไม่กล้าย่างก้าวอย่างแตกต่าง” เข้ามาครอบงำ   แล้้วเก็บกดความรู้สึกของตนเองเอาไว้  ในอีกทางหนึ่ง คุณย่าไม่นั่งจับเจ่าซึมเซา คร่ำครวญว่าเหงา ไม่เรียกร้องหาคนมาเอาใจ หรือรอให้ใครๆ หากิจกรรมให้ทำ ไม่ปล่อยเวลาให้ล่วงไปด้วยการจับกลุ่มเม้าท์เรื่องคนอื่น   คุณย่ามีความสุขที่ได้ทำ   คุณย่ากำลัง “ให้” ไม่ใช่กำลัง “ร้องขอ” คำว่า create your own worth ชัดเจนมากในกรณีนี้    ทุกคนทำได้ในวิธีของตน ในความถนัดของตน ไม่ใช่หรือ นวพร เรืองสกุล  ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๖๒

Animal Farm… เมื่ออุดมการณ์เลือนลับ

George Orwell คงจะประหลาดใจ ที่จู่ๆ นวนิยายเสียดสีสังคมของเขากลับดังขึ้นมาในชั่วข้ามคืน พลันที่นายกรัฐมนตรีของไทยเอ่ยชื่อเรื่อง Animal Farm (ฟาร์มของสัตว์) และคงจะประหลาดใจยิ่งขึ้นถ้ารู้ว่าสื่อสังคมของไทยมีความสามารถในการตีความเรื่องที่เขาเขียนเสียดสีสังคมคอมมิวนิสต์ในโซเวียต สมัยสตาลินไปได้ไกลลิบ  มีทั้งที่ขยายบริบท  ทั้งตีความแบบลึก และแบบประยุกต์ กระทั่งตีความลากเข้ามาหาเรื่องที่ตนอยากเสียดสี  ทั้งๆ ที่ต่อไม่ค่อยจะสนิทสักเท่าใด ในเรื่อง “สงครามแห่งดวงดาว สงครามการเมือง” ดิฉันพูดถึงเรื่องคนมีฝัน มีอุดมการณ์ที่ต้องการต่อสู้การครอบงำของจักรวรรดิที่เลวร้าย เอาไว้ แต่ภาพยนต์เรื่อง Star Wars ตอนนั้นเป็นเรื่องราวในช่วงของการต่อสู้   ๓ ตอนของชุดสุดท้ายที่เหล่านักสู้ได้อำนาจมาแล้ว ยังไม่ได้สร้างจนจบ คนสร้างต้องคิดหนักที่จะสร้างเรื่องให้สนุกพอๆ กับที่ George Lucas ผู้สร้างคนแรกได้ทำ ๖ ตอนแรกเอาไว้ เคยถามกันเองในหมู่คนชอบหนังเรื่องนี้ว่า “คิดว่าแนวทางของสามตอนสุดท้ายหลังจากที่สู้จนได้ชัยชนะแล้ว เรื่องจะดำเนินไปอย่างไร”  ต่างคนต่างก็มโนกันไป เรื่องราวของ Animal Farm เป็นคำตอบหนี่งได้ Animal Farm เคยเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาของนิสิตคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  แต่ก็เป็นที่รู้จักกันมานานก่อนหน้านั้นแล้ว และมีแปลเป็นภาษาไทยอยู่หลายสำนวน บริบทของหนังสือเล่มนี้คือการปฏิวัติของประชาชนคนใช้แรงงาน ทั้งกรรมกรและชาวนา (proletariat) ที่ถูกกดขี่แรงงาน  คนเหล่านี้รวมตัวกันเพื่อสร้าง “ภราดรภาพ” (ขอโทษที่ใช้ศัพท์ฝรั่งเศส เพราะนึกศัพท์อื่นไม่ออก)  ที่เรียกกันว่า comrade ในโซเวียต หรือ “สหาย” ในหมู่คอมมิวนิสต์ในภาคพื้นเอเซียตะวันออก คนที่ถูกปฏิวัติคือพระเจ้าซาร์ นิโคลัส ที่ ๒ และโซเวียตเปลี่ยนการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์  เป็นคอมมิวนิสต์   (พ.ศ. ๒๔๖๐) ผู้นำทางความคิดที่สำคัญ จากอดีต คือคาร์ล มาร์กซ์ ซึ่งอธิบาย (ที่ขอสรุปอย่างย่อที่สุด) ว่า “ทุน” ก็คือแรงงานแฝง และนายทุนคือผู้ที่ขูดรีดเอาแรงงานส่วนเกินไป ในรัสเซีย พรรคบอลเชวิก ซึ่งมีผู้นำสำคัญคือ เลนิน สตาลิน ทรอตสกี้ รับเอาความคิดนี้ไปใช้ แม้อุดมการณ์จะดีเลิศ ที่จะเห็นทุกคนเท่าเทียมกัน เป็นพี่เป็นน้องกัน แม้ทุกคนร่วมกันต่อสู้ แต่สมาชิกพรรคบอลเชวิกเท่านั้นที่ได้อำนาจ และต่อมาสตาลินก็รวบอำนาจไว้เพียงผู้เดียว และกดขี่ข่มเหงอาณาประชาราษฎร์ ไม่ต่างอะไรหรือหนักข้อยิ่งกว่าสมัยก่อน เรื่องนี้เขียนเผยแพร่ในปี 1945 (พ.ศ. ๒๔๘๘) ซึ่งเป็นปีที่สงครามโลกครั้งที่สองปิดฉาก ช่วงนั้นสตาลินอยู๋ในอำนาจ และนำพาโซเวียตเข้าไปเป็นหนึ่งในห้าประเทศสำคัญฝ่ายสัมพันธมิตรผู้ชนะสงคราม ใน แอนิมัล ฟาร์ม เจ้าของฟาร์มผู้กดขี่ข่มเหงบรรดาสัตว์เลี้ยง ถูกบรรดาสัตว์เลี้ยงลุกขึ้นยึดอำนาจเพื่อสร้างสังคมที่ทุกสัตว์เท่าเทียมกัน   แต่เป็นได้ไม่นาน เพราะการทำฟาร์มใช่ว่าจะมีแต่ปีที่ดื ปีที่ข้าวยากหมากแพงก็มี ไม่ว่าเจ้าของฟาร์มจะเป็นคนหรือเป็นสัตว์ และไม่ว่าการปกครองจะเป็นระบอบใด  อุดมการณ์ของหมูนักปฏิวัติเริ่มเบี่ยงเบน เช่น สัตว์ทุกตัวเท่าเทียมกัน แต่ “สี่ขาดีกว่าสองขา”  (พวกสัตว์ปีกที่มี ๒ ขาเริ่มมีสถานะด้อยลง) และพวกหมูเริ่มเขยิบตนเองขึ้นไปเป็นผู้บริหาร เป็นชนชั้นนำ ซึ่งในท้ายที่สุดหมูนโปเลียนก็เป็นผู้ครองอำนาจเบ็ดเสร็จ ปรนเปรอตนเอง ด้วยของฟุ่มเฟือยนานาประการ สัตว์อื่นๆ ถูกกดขี่ใช้แรงงาน สถานการณ์เป็นเช่นเดียวกับตอนมนุษย์มีอำนาจ ซี่งตนเคยรังเกียจและก่อการปฏิวัติยึดอำนาจมา  อุดมการณ์แห่งความเท่าเทียมกันเลอะเลือน แต่คงค้างไว้ในคำขวัญที่พูดง่ายแต่ฟังยากคือ “เท่าเทียมกัน แต่บางตัวเท่าเทียมกว่าตัวอื่นๆ“   All animals are equal, but some animals are more equal than others. (และวัฏจักรก็คงจะดำเนินต่อไป จากอำนาจเบ็ดเสร็จแบบหนึ่ง ไปสู่อุดมการณ์ปฎิวัติ แล้วนักปฏิวัติก็เริ่มคว้าอำนาจเบ็ดเสร็จมาครอง ซึ่งก็สร้างเงื่อนไขให้เกิดการปฏิวัติรอบใหม่ ….ฟังแล้วคงคุ้นๆ) เรื่องมีเท่านี้ ที่เหลือก็แล้วแต่จะตีความกันไป แต่ถ้าผู้เริ่มเอ่ยถึงหนังสือเล่มนี้คือนายกรัฐมนตรี เราไม่มองหน่อยหรือว่า ท่านหมายถึงอะไร ก่อนจะสรุปรวบรัดว่า ท่านอ่านหนังสือไม่แตก ถ้ามองการปฏิวัติที่มีอุดมการณ์อันเลิศเลอเป็นธงนำ ในประวัติศาสตร์ชาติไทย และชาติฝรั่งเศส ที่บางคนในหมู่พวกเรากำลัง “อิน” กันอยู่ เราจะเห็นว่ามีอะไรที่เหมือนๆ กันอยู่สองอย่างคือ ต้องหาศัตรูร่วม เพื่อมีเป้าหมายร่วม (จะเป็นคนหนึ่ง กลุ่มบุคคลหนึ่ง ชนชั้นหนึ่ง หรือระบอบการปกครองหนึ่ง) และมีความฝันถึงอนาคตที่ดีกว่าเป็นธงนำ …

เสน่ห์ผ้าบาติกอินโดฯ

งานบาติกเห็นได้ทั่วไปในอินโดนีเซีย มองไปทางไหนก็จะเห็นผู้ชายอินโดนีเซียสวมเสื้อเช้ิตผ้าพิมพ์ลายแบบบาติก ตั้งแต่คนขี่สามล้อ ไกด์ ไปจนกระทั่งถึงผู้เข้ามาประชุมในโรงแรมหรู เสื้อสำเร็จรูปหาง่ายและราคาไม่แพง  ส่วนผู้หญิงนุ่งโสร่ง ทั้งที่ยังนุ่งเองหรือเย็บสำเร็จรูป ข้างวังของสุลต่านแห่งยอกยาการ์ต้ามีหมู่บ้านขายผ้าบาติก นักช้อปเดินดูเดินซื้อได้เพลิน จะเข้าร้านเล็กหรือร้านใหญ่มีผ้าและสินค้าสิ่งทออื่นๆ เต็มร้านทีเดียว วังของเจ้าชายองค์หนึ่งมีช่างนั่งทำงานบาติกให้ดู ผ้าผืนที่เสร็จแล้วบางผืนก็ขาย ในล็อบบี้โรงแรมก็มีแสดงการทำเช่นกัน   ในพิพิธภัณฑ์มีผ้าลายงามๆให้ดู กระทั่งเจ้าหน้าที่เฝ้าวังก็นุ่งผ้า (เย็บตรึงสำเร็จรูป) เป็นเครื่องแบบ แล้วยังมีสตูดิโอสอนเขียนบาติก  ในสตูดิโอแห่งหนึ่งเจ้าของสตูดิโอ ยกภาพบาติกในกรอบขึ้นขวางแสง ทำให้เราเห็นภาพเป็นสีใสสวยด้วยมีแสงส่องเบื้องหลัง ทำให้ ได้แนวคิดว่าจะกลับไปทำฉากที่บ้านด้วยการวางผ้าบาติกแบบนี้ ในวันเดียว เมืองเดียวคือยอกยาฯ  ได้เห็นผ้าบาติกตั้งแต่ระดับโรงงาน ระดับชาวบ้านทำ ระดับในราชสำนัก ไปจนถึงงานที่ยกระดับจากงานฝีมือเป็นงานศิลปะ นับว่าผ้าบาติกมีชีวิตชีวามาก เห็นบาติกอินโดนีเซียมีชีวิตชีวาขนาดนี้ ก็ต้องหันมาตั้งคำถามถึงเครื่องแต่งกายของชายไทย ในวันที่เราจะสร้างเอกลักษณ์ไทยและเอกลักษณ์ร่วมของอาเซียน เสื้อเชิ้ตผ้าไหมไทยสวยๆ สวมสบาย ที่ผู้อาวุโสบางคนยังสวมอยู่ หายไปจากตู้เสื้อผ้าชายไทยรุ่นใหม่หมดแล้ว                                ความยาวชองผ้าบาติกหนึ่งผืน   ผ้าคาดอก คาดเอว ผ้าคลุมไหล่ และผ้าโพกศีรษะ จะแคบ และสั้นกว่าผ้านุ่ง ผ้าผืนยาวขนาดนุ่งได้ ได้แก่ โสร่ง (ความยาวประมาณ ๑.๘๐​เมตร – ๒ เมตรกว่า) เย็บเป็นถุง โครงสร้างของลายประกอบด้วยส่วนที่เป็นตัว (badan) ประมาณ ๓/๔ ของผืน กับส่วนที่เรียกว่าหัว (kepala) อีกประมาณ  ๑/๔ ของผืน โครงสร้างลายที่มีสองส่วนเช่นนี้  มองแล้วละม้ายกับโครงสร้างของผ้าส่าหรี อันเป็นเครื่องนุ่งห่มของสตรีอินเดีย ลวดลายส่วนหัวที่คุ้นตาคนไทยที่สุดคือลายสามเหลี่ยมมุมแหลม ที่พุ่งยอดแหลมเข้าหากัน                                       โสร่งตรังกานู มาเลเซีย  ประมาณ ค.ศ. 2000  กับโสร่งอินโดนีเซีย ไม่ทราบที่มา  ผ้ายาว (kain panjang) ยาวเฉลี่ยประมาณ ๒.๕๐ เมตร ใช้นุ่งแบบจีบหน้า ผู้หญิงนุ่งจับจีบเล็กๆ ๙ จีบ และทบจากซ้ายไปทับขวา ส่วนผู้ชายนุ่งจีบใหญ่กว่า และทบจากขวาไปทับซ้าย ผ้า “ทิวา ราตรี” (pagi-sore อ่านว่า ปากี – โซเร่ แปลว่า เช้า–เย็น) เป็นผ้าผืนเดียว ความยาวประมาณกับผ้า kain panjang หรือยาวกว่าเล็กน้อย  ทำลวดลายไว้สองแบบในผืนเดียวกันทำให้สลับใช้ได้สองข้าง เป็นผ้า two in one   ปากี–โซเร่บางผืนสองลายต่างกันชัดเจน ดังเช่นผืนที่แสดงไว้ที่หัวเรื่อง บางผืนลายคล้ายกันมากแต่ไม่เหมือนทีเดียว  ดังผืนนี้ที่ลายช่อดอกไม้กลับหัวกลับท้ายกัน เมื่อพ้นกึ่งกลางผ้า  ถ้าไม่สังเกตให้ดี อาจนุ่งผ้าลายตีลังกาได้               ลวดลาย ผ้าบาติกสื่อสารประวัติพื้นที่และผู้ผลิตถึงเราด้วยลวดลายและสีสันบนผืนผ้า สามศาสนา คือ พุทธ ฮินดู และอิสลาม ต่างก็ประทับร่องรอยไว้ในวิถีชีวิตของคนในหมู่เกาะระหว่างมหาสมุทรอินเดีย กับทะเลจีนใต้ แห่งนี้  และอิทธิพลนั้นก็เห็นได้ในลายเขียนบนผ้าที่ใช้เป็นเครื่องนุ่งห่มด้วย นักประวัติศาสตร์เห็นลวดลายที่ใช้กับผ้า พ้องกับลวดลายที่โบราณสถาน เช่นลายดอกบัวที่โบโรพุทโธ จากคริสต์ศตวรรษที่ ๙ และลวดลายวงกลมซับซ้อนไขว้กัน (ภาษาในงานบาติกเรียกว่า …

Startup: 1 2 3 Go

บทความชุดนี้เขียนให้บริษัทประกันชีวิต อยุธบาอลิแอนซ์ เป็นตอนๆ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2559 ไปตลอดปี 2560 และสิ้นสุดเมื่อต้นปี พ.ศ. 2561 นำมารวมขึ้น blog ไว้ เหมือนเป็นหนังสือพ็อกเก้ตบุ๊ก ๑ เล่ม เพื่อประโยชน์ของผู้ที่คิดทำตั้งกิจการใหม่เป็นของตนเองทุกคน ให้ดำเนินการได้ราบรื่นและรุ่งเรือง ข้อเขียนไม่ใช่สูตรสำหรับความสำเร็จในธุรกิจ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นทุกคนที่อ่านก็คงประสบความสำเร็จไปหมดแล้ว  ผู้เขียนตั้งใจถ่ายทอดประสบการณ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อให้ผู้ที่สนใจทำกิจการใหม่ของตนเองได้เรียนรู้ที่จะ ๑. ระมัดระวังกิจการของตนและตนเองไม่ให้หลุดตกลงไปในหลุมดักบางหลุมที่ผู้ประกอบการอื่นได้เคยตกไปแล้ว ซึ่งทำให้ต้องเผชิญกับอุปสรรคหลายประการที่สามารถหลีกเลี่ยงได้  และ ๒. เห็นเงื่อนแห่งความสำเร็จของผู้ประกอบการอื่น ที่ตนอาจนำไปประยุกต์และขยายผลเพื่อความสำเร็จในธุรกิจสตาร์ทอัพของตน ขอให้ทุกคนที่มุ่งหวังจะสร้างสตาร์ทอัพ ได้ประสบความสำเร็จสมดังตั้งใจ นวพร เรืองสกุล  กุมภาพันธ์ 2562   สารบัญ ใบเสร็จ ภาษี                       บีโอไอ cost effective                     ขยายงานให้พอดีตัว vision                               business structure business model                 รร นานาชาติ ทุน คน ลูกค้า         CEO เลือกใครมาร่วมงานเป็นคนแรก ดูในไฟล์ scrap ด้วย 10.from idea to action to growth: eBay            1 + 1 > 2   แบ่งประโยชน์ให้ลงตัว     UberEATS   ศูนย์การค้าและ Tianzifang ขาดทุนคือกำไร   จากความคิดสู่ความสำเร็จ  คิดไม่ครบ คิดให้ครบ  ไอเดียดี ไม่จำกัดที่ตำแหน่งงาน (การฟังแก้ปัญหาได้)     sharing economy  George Lucas Pixar /Zoetrope สิ่งเล็กๆ  (จาก Airbnb เนื่องในงานพระเมรุ) partners for life (หา partners คิดตอนเลิกด้วย) exit strategy The Founder บัญชี ภาษาอีกภาษาหนึ่ง  เหมือนวิชาชีพอื่นๆ ​ เหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลง