All posts tagged: สปสช

ต้อง ‘แหกคอก’ อัดฉีดเพื่อนักสู้COVID-19

คราวนี้โลกเราเจอโรคระบาดแบบที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนในชั่วชีวิต   มาท้าทายมนุษยชาติ ไม่เลือกชาติ ชั้น วรรณะ  วิกฤตในลักษณะนี้กระตุ้นให้หาทางจัดการกับปัญหาแบบนอกรูปแบบปกติ แบบที่อาจไม่เคยทำมาก่อนในชีวิตนี้ด้วยก็ได้ ดังที่เห็นประเทศต่างๆ ต่างก็ทดลองวิธีของใครของมันอยู่ ต่างก็เรียนรู้ข้อผิดพลาดของกันและกัน และทำไปในขอบเขตและความสามารถที่ผู้บริหารแต่ละประเทศมีอยู่ ในกรอบวัฒนธรรม ความเชื่อต่างๆ ที่แตกต่างกัน แล้วเราจะได้เห็นเองว่าประเทศใดประสบความสำเร็จมากน้อยกว่ากัน ตรงไหน อย่างไร  ที่แน่ๆ ก็คือ บางชาติคิดเร็ว ทำเร็ว (ทำโดยสุจริตจริงจังในสิ่งที่คิดว่าเป็นประโยชน์ต่อประชาชนของตน แต่จะดีหรือไม่ ไว้วัดกันทีหลัง) ดังที่  Zou Yue หัวหน้านักข่าว ประจำปักกิ่งของ CGTN กล่าวว่า  “Desperate time asks for desperate measures”   (ยามเข้าตาจน ก็ต้องใช้มาตรการแบบเข้าตาจน)  เวลาไม่รอท่า ทุกวันความเสียหายยิ่งเพิ่ม และผู้อยู่แนวหน้าเริ่มอ่อนแรง  ดังนั้นวิธีแก้ปัญหาต้องเร็วและเด็ดขาด ถึง “แหกคอก” ก็ต้องทำ เพราะคับขันอย่างยิ่ง กลับมามองประเทศไทย เราได้ยินแต่คำปลอบประโลมประชาชนว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ได้ยินคำหวานๆ ที่โรยให้หมอและพยาบาลแนวหน้า โดยไม่มีใครมุ่งเข้าไปช่วยจัดการในจุดที่กองกำลังเสื้อขาวต้องการมากที่สุดเพื่อต่อสู้กับสิ่งประหลาด นั่นก็คือการส่งกำลังบำรุง (ทั้งคน เงิน และอาวุธ) ที่จำเป็นอย่างพอเพียง เพื่อให้สามารถรบได้โดยไม่ต้องพะวงหลัง  ไม่ต้องเสียเวลารอ  และไม่ต้องอ้อนวอนร้องขอ ไม่ต้องใจหายใจคว่ำว่าจะต้องรบมือเปล่าและบาดเจ็บล้มตาย ในขณะที่คนที่อยู่แนวหลังที่มีหน้าที่ส่งกำลังบำรุง  กำลังค่อยๆ เลื่อนกระดาษผ่านไปทีละโต๊ะๆ เพื่อพิจารณา แก้ไข ท้วงติง กระดึ๊บๆ อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว bureaucracy กลายเป็น​ “bureau-crazy”  ไม่มีใครตอบได้ว่า อีกนานแค่ไหนจึงจะถึงโต๊ะที่จะต้องเซ็นอนุมัติ ทั้งๆ ที่การเซ็นอนุมัติก็แค่ยกปากกามาขีดแกรกเดียว    เรามีปัญหาเรื่องระบบราชการ ที่เป็นอุปสรรคต่อการส่งกำลังบำรุงอย่างรุนแรง  ในสถานการณ์คับขันเยี่ยงเวลานี้ ดิฉันเห็นว่า ใครที่มัวแต่ต้วมเตี้ยมเปิดตำราเก่า หรือกางกฎระเบียบที่เคยใช้ในยามปกติ ควรจับไปขังไว้ (พูดจาให้เห็นภาพ)  แล้วหาคนใหม่มาทำแทนทันที คำถามข้อ ๑. ใครมีอำนาจเบ็ดเสร็จ ตอบ  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยอำนาจที่มีตามกฎหมาย (แต่ตอนนี้อำนาจอยู่ที่ไหนไม่ได้ไปตามดู)  เพราะรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติที่ออกมา เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๘  และเพิ่งประกาศให้ COVID-19 เป็นโรคติดต่อตามพระราชบัญญัตินี้เมื่อ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ นี่เอง คณะกรรมการนี้มีปลัดกระทรวงหรือบุคคลเทียบเท่าอีก ๙ กระทรวงเป็นคณะกรรมการ  อธิบดีต่างกระทรวงรวม ๙ กรม รวมผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มีผู้แทนองค์กรแพทย์ พยาบาล เทคนิคการแพทย์​ โรงพยาบาลเอกชน อย่างละ ๑  อธิบดีกรมควบคุมโรค เป็นกรรมการและเลขานุการ และผู้อำนาวยการสำนักระบาดวิทยา เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ  รวมแล้ว ๒๖ คน นับว่าพลังสูงทีเดียวในแง่ยศตำแหน่งกรรมการ และการครอบคลุมกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง (หรืออาจจะมากเกินจนเดินไม่ได้) ในแง่เครือข่าย ครอบคลุมทั้งประเทศ เพราะมีคณะกรรมการโรคติดต่อของแต่ละจังหวัดที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน และนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอยู่ในทีมด้วย  ในแง่อำนาจก็มีมากมาย  คือประกาศเขตติดโรคได้ทั้งในและนอกราชอาณาจักร สั่งกักกันตัวได้ โดยผู้เดินทางเข้ามาต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่าย  เจ้าของยานพาหนะก็ต้องจ่ายค่าเลี้ยงดู รักษาพยาบาลบุคคลที่เข้าข่าย เจ้าพนักงานควบคุมโรคในพื้นที่ (รัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้ง) มีอำนาจดำเนินการได้เองในพื้นที่ เพื่อห้ามโรคแพร่และป้องกันการแพร่ระบาด แล้วยังเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายอาญา ปรับได้ถ้าไม่ทำตามคำสั่งของคณะกรรมการ    ก็อยากได้ฟังข้อมูลว่า เคยใช้อำนาจนี้หรือยัง ๒. เงินอยู่ไหน ใครรู้บ้าง ด้านการเงินเกี่ยวกับการทำงานตามหน้าที่  คณะกรรมการที่กล่าวมาแล้วเป็นผู้เห็นชอบหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข ในการจ่ายเงินชดเชย ค่าทดแทน ค่าตอบแทน และค่าใช้จ่ายในการเฝ้าระวัง สอบสวนโรค ป้องกัน และควบคุมโรค โดยนัยนี้ เมื่อกระทำการลงไปตามหน้าที่  รัฐบาลย่อมต้องหาเงินมาให้จ่าย     ในกรณีฉุกเฉิน กระทรวงสาธารณสุขมีงบกลางกว่าพันล้านบาท  แต่จะใช้เมื่อไร อย่างไร ก็แล้วแต่จะพิจารณาตามกระบวนการพิจารณา …

Big Data ในกระทรวงสาธารณสุข: เรื่องง่ายที่ยิ่งใหญ่

 Data บ้านเรามีอยู่ทั่วไป แต่…      กระจัดกระจาย (scattered)      ไม่สมบูรณ์ (incomplete)      ไม่เป็นรูปแบบเดียวกัน (not uniformed)      ไม่เชื่อมโยงกัน (not integrated)       ไม่มั่นใจในความถูกต้องเพราะขาดการสอบทานหรือขาดการจัดเก็บอย่างเป็นระบบ (lack of data integrity) และ       มักไม่เป็นที่เปิดเผยเพื่อผู้อื่น (inaccessible)    จึงทำให้เป็น Big Data ยาก แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำไม่ได้ กล่าวโดยเฉพาะสำหรับกระทรวงสาธารณสุข ข้อมูลรวมหาได้ง่ายมาก หรืออันที่จริงไม่ต้องหาเลย ถ้ามีเป้าหมายว่าทุกข้อมูลจะต้องใช้ประโยชน์ได้หลายแบบ โดย… หนึ่ง โรงพยาบาลนำเข้าข้อมูลเป็นรูปแบบเดียวกัน และด้วยคำจำกัดความที่เหมือนกัน)  ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลที่ใดในประเทศนี้ สอง  นำเข้าครั้งเดียว ใช้ได้ทั่วทั้งระบบเล็กในโรงพยาบาล และระบบใหญ่ทั้งประเทศ  เมื่อมีฐานข้อมูลเดียวกันที่เชื่อถือได้ (ดูภาพจากบทความที่แล้วเรื่อง sharing economy ที่เป็นภาพดาต้าจากท้องฟ้าอากาศ เป็น input เข้ากรวยไปออกมาเป็น output เป็นกลุ่มก้อนอีกหลายแบบ) ก็เหมือนวัตถุดิบที่ได้คุณภาพเดียวกัน  ผู้ใดใคร่นำไปใช้เพื่อตอบโจทย์เรื่องใดก็มาเก็บเกี่ยวไปปรุงในแบบที่ต้องการ  ตัดปัญหาเรื่อง junk in, junk out ลงไปได้เสียที ข้อมูลผู้ป่วยที่มารับการรักษาพยาบาล หรือที่เข้ามาติดต่อที่โรงพยาบาลในสังกัดของกระทรวงสาธารณสุข สำคัญมากด้านนโยบายสุขภาพของประเทศ  ข้อมูลทำนองนี้หาได้ยาก เมื่อต่างโรงพยาบาลต่างก็เก็บข้อมูลตามสไตล์ของตัวเอง หรือตามความพอใจของผู้บริหารหรือผู้ดูแลงานข้อมูลแต่ละโรงพยาบาล  ยิ่งโรงพยาบาลที่ต่างแผนกต่างเก็บข้อมูลของตัวเองในแบบของตัวเอง การนำข้อมูลมารวมกันเพื่อดูภาพรวมยิ่งยากมาก แถมบางครั้งการนำข้อมูลจากแผนกหนึ่งไปใส่ใหม่ในอีกแผนกหนึ่งเพื่องานของแผนกนั้น เกิดความผิดพลาด ข้อมูลไม่ตรงกัน โทษกันไปมา แล้วก็ต่างคนต่างแยกกันทำยิ่งขึ้น ต่างคนต่างก็บอกว่าแบบของตัวเองถูกต้องกว่า ไม่เป็นอันสิ้นสุด ข้อมูลจะเชื่อถือได้ก็ต่อเมื่อนำเข้า ณ จุดใดจุดหนึ่งเพียงจุดเดียว แล้วข้อมูลก็เดินทางไปยังจุดต่างๆ เพื่อทำงานในแต่ละด้าน ไม่มีใครสามารถเข้าไปเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่ได้บันทึกแล้วได้อีกเลย   โดยมากจุดเดียวนั้นคือจุดตั้งต้น หรือจุดที่จะมีการสอบกระทบยอดทุกวัน  ณ จุดตั้งต้นมักมีผู้สอบทานภายนอกด้วย (เช่นข้อมูลชื่อคนไข้ คนไข้ก็เห็น  หรือลองคิดถึงเรื่องที่คุ้นเคยกันอยู่ คือการฝาก-ถอนเงินที่ธนาคาร  ลูกค้าเจ้าของเงินนั่นเองที่เป็นผู้ตรวจสอบยืนยันความถูกต้องของข้อมูลที่พนักงานธนาคารนำเข้าระบบของธนาคาร)  นี่คือหลัก  SINGLE  DATA  ENTRY ถ้าโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขยึดหลักการทำ single data entry ทั่วทุกโรงพยาบาล  (ทั้ง สำนักงานปลัด และกรมอื่นๆ ในกระทรวงสาธารณสุข ทั่วประเทศ) เราก็จะได้ data จำนวนมากจากทั่วประเทศ ยิ่งถ้าโรงพยาบาลของรัฐทำด้วยกันหมด คือ โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงกลาโหม มหาดไทย และมหาวิทยาลัย ด้วย ก็ยิ่งได้ data มากยิ่งขึ้น     นี่คือ กองดาต้าจำนวนมหาศาล จะนำไปใช้ก็ดี  ขายก็ได้ (หมายถึง data รายกลุ่ม ไม่ใช่รายบุคคล) สุดแท้แต่เจ้าของข้อมูล และผู้จะใช้ข้อมูล เช่น นักวิจัย นักวางแผน ฯลฯ ผลดีคือ (ก) การทำวิจัยในระยะต่อไปไม่ต้องของบฯ ไปเก็บข้อมูล เพราะข้อมูลมีอยู่แล้ว และ (ข) การทำนโยบายบางด้านไม่ต้องเดา เพราะมีข้อมูลยืนยัน   ทั้งนี้หมายถึงว่าผู้ทำต้องฉลาดที่จะตั้งคำถามและมีทักษะในการหยิบคำตอบออกมาจากกองดาต้า Big data สำหรับงานสุขภาพของชาติที่ทำผ่านระบบโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข ใช้ต้นทุนน้อย ได้ประโยชน์ทั้งในงานโรงพยาบาล และจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างมาก  เชื่ออย่างยิ่งว่า Big Data จากกระทรวงสาธารณสุขเป็นงานง่าย ขอเพียงเข้าใจและตั้งใจ ทีนี้แหละ จะคุยได้เต็มปากเสียทีว่า เรามี Big Data ของจริง นวพร เรืองสกุล ๑๔ …

ปรับรื้อ สธ และจัดโครงสร้างระบบสุขภาพใหม่ ตอนที่ 2

ตอนที่ ๑ ได้เสนอแนะโครงสร้างของระบบสุขภาพที่ควรมีการปรับใหม่ แยกให้ชัด ระหว่าง ผู้วางนโยบาย (policy maker)  ผู้ให้บริการ (provider) ผู้ซื้อบริการ (purchaser) และผู้กำกับ (regulator)  ครั้งนี้เป็นข้อเสนอแนะที่เหลือ ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม การมีท้องถิ่นเป็นเจ้าของโรงพยาบาล ในเรื่องนี้มีข้อสังเกตว่า แต่ละประเทศมีผู้ให้บริการแบบใดบ้างจะขึ้นอยู่กับความเป็นมาและบริบทสังคมของแต่ละประเทศนั้น ประเทศที่ท้องถิ่นเป็นเจ้าของโรงพยาบาลมักมีประวัติศาสตร์การเมืองและการปกครองแบบอิสระต่อกันมาก่อน หรือว่าท้องถิ่นมีขนาดใหญ่แบบมณฑลในสมัยก่อนหรือเขตในสมัยนี้ และค่อนข้างอยู่ตัวไม่เปลี่ยนแปลงบ่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ซอยย่อยแบบที่ประเทศไทยเพิ่มจังหวัดและอำเภอ กระทรวงน่าจะพิจารณาประเด็นนี้แล้วสร้างทางเลือกหลายๆ ทาง เช่น ก. ด้านการให้บริการ ชักชวนให้องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นร่วมลงทุนในโรงพยาบาลชุมชนหรือโรงพยาบาลทั่วไปในสังกัดสำนักงานปลัดฯ หรือลงทุนในบริการบางด้านโดยโรงพยาบาลร่วมสนับสนุนด้านวิชาการ โดยท้องถิ่นมีส่วนเข้ามาร่วมบริหาร จะประหยัดงบประมาณส่วนกลาง ได้ความมีส่วนร่วมในท้องถิ่นและป้องกันปัญหาการเกิดโรงพยาบาลขนาดเล็กที่อาจไม่ได้คุณภาพในการให้บริการ ข. ด้านการซื้อบริการ โรงพยาบาลและงานในส่วนภูมิภาคพัฒนาบริการระดับชุมชนและท้องถิ่นแล้วนำเสนอให้ท้องถิ่นเลือกซื้อเป็นบริการเสริมสำหรับประชาชนในพื้นที่ งานด้านส่งเสริม ป้องกันระดับชุมชนน่าจะเป็นงานที่ท้องถิ่นมีบทบาทได้สูง ในเรื่องนี้มีผู้เขียนไว้ว่า การตกลงกันซื้อ package ทำได้หลายลักษณะ เช่น ทำเป็นสัญญาที่ระบุผลการดำเนินงาน (performance contract) สัญญาให้บริการในบางเรื่อง (service contract) สัญญาที่อิงกับต้นทุนโรงพยาบาล (input contract) และตกลงให้บริการเหมา (block) หรือกำหนดเป็นจำนวนชิ้นงาน เป็นต้น ภาพที่ 8.4.1 การให้บริการทางการแพทย์ระดับต่างๆ ในปัจจุบัน ภาพที่ 8.4.2 ข้อเสนอปรับปรุง ผลกระทบต่อภาครัฐจากการเกิดขึ้นของโรงพยาบาลเอกชน รัฐบาลมีนโยบายให้ประเทศไทยเป็น medical hub และประชาสัมพันธ์ส่งเสริม medical tourism น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งเสริมโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ ผลกระทบเท่าที่ได้รับฟังมา คือ ก. ผลกระทบด้านบุคลากร  มีการดึงบุคลากรทางการแพทย์ไปจากโรงพยาบาลในภาครัฐ ซึ่งแทบจะเป็นผู้จ้างงานรายเดียวในอดีต ทำให้บุคลากรขาดแคลน ค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือนสูงขึ้นและยังมีกรณีที่บุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลเอกชนเป็นแพทย์บางเวลาจากโรงพยาบาลของรัฐที่มีชื่อเสียง การทำงานให้รัฐจึงอาจจะไม่เต็มที่ ข. ผลกระทบด้านการรักษาพยาบาล  ผู้ป่วยถูก “คัดกรอง” ไปโรงพยาบาลเอกชน โรงพยาบาลของรัฐได้ผู้ป่วยกรณีรักษายาก เรื้อรัง ใช้เวลาแพทย์มาก มีต้นทุนการรักษาแพง และเก็บเงินยากมาเพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนในการรักษาพยาบาลรายหัวสูงขึ้นและความแออัดที่มีมากขึ้นก็ผลักให้คนเดินไปเข้าโรงพยาบาลของเอกชนยิ่งขึ้น ค. ผลกระทบด้านสังคม ผู้ป่วยหลายประเทศในโลกเริ่มมาใช้บริการในโรงพยาบาลของรัฐที่ถูกกว่าโรงพยาบาลเอกชน เท่ากับเพิ่มผู้ป่วยให้มากขึ้นไปอีกทั้งในกทม. และต่างจังหวัด เป็นการใช้งบประมาณของรัฐเพื่ออุดหนุนต่างชาติในขณะที่บริการเพื่อผู้ป่วยไทยก็ยังไม่พอเพียง นโยบายต่างๆ ที่กระทบถึงแพทย์ในฐานะบุคคลและบุคลากร ก. โรงพยาบาลในสังกัดสำนักงานปลัดฯ อ่อนแอลงเพราะการขาดทุนและขาดการลงทุนปรับปรุงอย่างเป็นระบบ ทำให้สภาพแวดล้อมการทำงานไม่เป็นไปดังที่แพทย์ได้ร่ำเรียนมา ข. แพทย์ส่วนมากถูกบ่มมาให้ทำงานเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม แต่สภาพแวดล้อมตั้งแต่เริ่มทำงานตอกย้ำให้ทำงานเพื่อเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแพทย์จบใหม่ที่ถูกส่งไปเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลขนาดเล็กทั้งๆ ที่ประสบการณ์ยังไม่พร้อมรับงานดังกล่าว ค. นโยบายการจ่ายเงินของสปสช. ในด้านที่จ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่หรือหน่วยบริการตามชิ้นงานที่ทำเป็นการทำงานแลกเงิน บุคลากรทางการแพทย์ในพื้นที่เห็นว่า เงื่อนไขด้านการจ่ายเงินทำให้งานที่หน่วยบริการเห็นว่าจำเป็นกว่าสำหรับพื้นที่นั้นทำไม่ได้เท่าที่ควร ง. มีข้อพึงพิจารณาว่า ฝ่ายรัฐเป็นฝ่ายผลักให้แพทย์เดินเข้าโรงพยาบาลเอกชน ด้วยการจ้างงานในราคาต่ำแต่ความไม่มั่นคงสูง (คือไม่มีอัตรากำลังข้าราชการ) ด้วยหรือไม่ เพียงใด การศึกษาอย่างเป็นระบบด้วยข้อมูลและการวิเคราะห์เชิงสถาบันน่าจะให้คำตอบที่ชัดเจนขึ้น การทำงานในภาครัฐใช้คนจำนวนมากเกินไป ควรมีการปรับปรุงระบบงานและวิธีการทำงานให้ได้ผลผลิตต่อคน (productivity) สูงขึ้นและคนทำงานตรงตามวิชาชีพมากขึ้นด้วยการปรับกระบวนการทำงานให้กระชับขึ้น พัฒนาคนให้มีทักษะมากขึ้น และนำเครื่องมือเครื่องใช้เข้ามาช่วยลดแรงงาน ส่วนการทำงานที่ให้บุคลากรทางการแพทย์รับผิดชอบงานที่ไม่เกี่ยวกับการรักษาพยาบาลก็ต้องมีการปรับปรุงให้ลดลงเช่นเดียวกัน เพื่อให้แพทย์มีเวลาเหลือสำหรับงานรักษาพยาบาลมากขึ้น ในความรู้สึกทั่วไป การเป็นข้าราชการมีศักดิ์ศรี มีสวัสดิการและได้ทำประโยชน์ให้ประชาชน สิ่งเหล่านี้ตีราคาไม่ได้ชัดเจน แต่ก็มีค่าพอจะให้คนจำนวนหนึ่งเลือกที่จะรับราชการ แต่ “ระบบ” กลับผลักคนออกจากราชการ ด้วยการสร้างความไม่มีเสถียรภาพด้านการจ้างงาน ลักลั่น ขาดความเท่าเทียมหรือความเสมอภาคระหว่างคนที่ทำงานในหน้าที่เดียวกัน ในองค์กรหรือสถานประกอบการเดียวกันที่บางคนเป็นข้าราชการ บางคนเป็นลูกจ้าง เป็นระบบที่ไม่สร้างเส้นทางอาชีพให้ชัดเจน และยังหลอกตัวเองว่าจำนวนข้าราชการไม่เพิ่มมาก แต่แท้จริงจำนวนคนไปโป่งในการจ้างงานหมวดอื่นๆ จากการศึกษาข้อมูลโรงพยาบาลหลายแห่งพบว่า มีหลายกรณีที่อัตรากำลังกับตัวผู้ครองอัตรากำลังอยู่กันคนละแห่ง คำอธิบายหนึ่งคือกรอบอัตรากำลังไม่ตอบสนองต่อภารกิจและไม่อาจปรับเปลี่ยนได้ทันท่วงที ระบบจึงเป็นตัวสร้างความไม่ตรงไปตรงมาแฝงไว้ในระบบ การตั้ง ก.สธ. เรื่องอัตรากำลังและการจัดคนให้ตรงกับงานเป็นเรื่องที่ก.พ. และกระทรวงควรทำให้ถูกต้องและคล่องตัวขึ้น ถ้ามีข้อติดขัดควรพิจารณาตั้งคณะกรรมการด้านงานบุคคลขึ้นมาใหม่เพื่อดูแลเรื่องอัตรากำลังบุคลากรทางการแพทย์ทั้งระบบเป็นการเฉพาะ รวมทั้งกำหนดคุณสมบัติที่เหมาะสมกับตำแหน่งงานและกำหนดแนวทางการบริหารจัดการงานบุคคล และให้เขตมีหน้าที่จัดอัตรากำลังในเขต โดยส่วนกลางวัดผลงานของเขตที่ความเหมาะสมในการจัดคนลงอัตรากำลัง pricing policy ก. โรงพยาบาลเอกชนเข้าโครงการเหมาจ่ายรายหัวน้อยลง แต่เป็นผู้รับส่งต่อและลงทุนรับเคสพิเศษมากขึ้น น่าจะเป็นข้อบ่งชี้ตัวหนึ่งว่าสปสช. น่าจะจ่ายเงินแพงไปในระดับรายกรณีและถูกไปในระดับ OP  เรื่องนี้ควรหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นปรับปรุงการจ่ายเงินและวางแผนการซื้อบริการของสปสช. ด้วย เพราะ equity ด้านการจ่ายเงินผู้ให้บริการก็สำคัญไม่แพ้  equity ด้านการได้รับบริการ ข. อัตราการเก็บค่ารักษาพยาบาลล้าสมัยไม่พร้อมรับมือกับการที่ผู้ป่วยจากประเทศเพื่อนบ้านเดินเข้ามารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลของรัฐ เสมือนประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ซึ่งดึงงบประมาณและทรัพยากรอีกหลายประการไปจากการดูแลคนไทย …

ปรับรื้อ สธ และจัดโครงสร้างระบบสุขภาพใหม่

รายงานของคณะกรรมการพิจารณาปัญหาสถานะทางการเงินและปรับปรุงระบบการเงินและบัญชีของหน่วยบริการ สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เรื่องโรงพยาบาลสุดแดนสยามสามทิศ ที่ลงไปปี 2559 เป็นเบื้องหลังของการทำงาน  คราวนี้ขอนำบางส่วนของรายงานมาเสนอ   (บทที่ 8) สถานการณ์เชิงระบบ ความเห็นและข้อเสนอแนะ การสาธารณสุขของไทยเป็นเสาหลักที่แข็งแกร่งของประเทศ มีโรงพยาบาลครอบคลุมทั่วประเทศ มีบุคลากรที่มีความสามารถกระจายทั่วประเทศ แต่เวลานี้โรงพยาบาลจำนวนหลายร้อยโรงกำลังมีปัญหาด้านการเงินขาดมือ อันเป็นปัญหาเฉพาะหน้า และยังก่อให้เกิดคำถามว่า เงินขาดมือจริงหรือ ข้อมูลถูกต้องน่าเชื่อถือเพียงใด คณะกรรมการชุดนี้ได้ให้ข้อเสนอแนะเพื่อตอบคำถามเหล่านี้ใน 3 ระดับคือ ก. แก้ปัญหาการทำข้อมูลทางการเงินและบัญชีในปัจจุบัน ในระดับโรงพยาบาลและระดับกระทรวง ข.  แก้ไขปัจจัยแวดล้อมภายนอกที่ส่งผลมากระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมถึงการทำงานด้านการเงินและการบัญชีของโรงพยาบาลในระดับส่วนงาน เพื่อลดการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ค. พัฒนาระบบด้านการเงินและการบัญชีและข้อมูลอื่นๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วน เป็นระบบ ใช้งานได้ง่าย ความเห็นและข้อเสนอแนะ เรื่องเฉพาะหน้า ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทั้งกระทรวงสาธารณสุขและสปสช. ต่างก็รับรู้ปัญหาและออกมาตรการเยียวยาต่างๆ ในขณะเดียวกันก็มีข้อสงสัยเสมอว่าข้อมูลดีพอหรือไม่ ในครั้งนี้จึงขอเสนอว่า ก.          ควรยุติการหาข้อมูลที่ยังไม่ค่อยเป็นระบบมายืนยันว่ามีปัญหา แต่ควรลงมือปรับปรุงข้อมูลให้เป็นระบบ (ต้นทุนในการลงมือเก็บข้อมูลที่จะต้องทำเพิ่ม 1 รายงานทุกเดือน ถ้าเจ้าหน้าที่ใช้เวลาเพียง 1 วันต่อรายงาน สำหรับ 800 โรงพยาบาล จะเป็นเงินเกิน 10 ล้านบาทต่อรายงานต่อปี) ข.          การกู้ชีพกลุ่มโรงพยาบาลขาดทุนแบบฉุกเฉินไม่ได้แก้ที่ต้นตอของโรคขาดทุน ควรตัดสินใจแก้ปัญหาต่างๆ ที่ต้นเหตุ ในส่วนของเหตุที่พอเห็นได้และแก้ไขได้ง่ายในระดับโรงพยาบาล และระดับกระทรวงทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อลดปัญหาที่ผุดขึ้นมาทีละเรื่อง ปีต่อปี การปฏิรูประบบบริหาร เหตุเชิงระบบเป็นปัญหาระดับลึกต้องการการปฏิรูปความคิดและปรับรื้อการบริหารจัดการครั้งใหญ่อีกครั้ง นับแต่การปฏิรูปครั้งล่าสุดเมื่อ 15 ปีมาแล้ว ด้วยการแยกผู้ซื้อบริการกับผู้ให้บริการออกจากกัน ในระหว่างนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ทั้งภายในและภายนอกอีกหลายประการที่รุมเร้าเข้ามาและท้าทายการบริหารจัดการระบบสุขภาพของประเทศ ซึ่งทั้งกระทรวงฯ และสปสช. จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตนเองครั้งใหญ่ เพื่อเป้าหมายสำคัญ คือ ให้ประเทศคงความเป็นเลิศด้านงานสาธารณสุขต่อไปในอนาคต สี่ด้านของงานสุขภาพ กระแสความคิดของประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศ พยายามแบ่งงานด้านสุขภาพออกเป็น 4 ด้านหลักๆ คือ งานนโยบาย (policy maker) งานกำกับ (regulator) งานให้บริการประชาชน (provider) และงานทำหน้าที่ซื้อบริการแทนประชาชน (purchaser) โดยเปลี่ยนจากระบบ command and control ซึ่งรัฐรับหน้าที่เป็นผู้ให้การรักษาพยาบาลและดูแลประชาชน เป็นระบบ purchaser – provider เพื่อเป็นการคานกันระหว่างผู้ซื้อกับผู้ให้บริการ โดยหวังว่าการซื้ออย่างมีกลยุทธจะช่วยให้ได้บริการที่ดีและได้ระบบสุขภาพที่ดีที่สุดสำหรับประเทศ โดยแต่ละประเทศต่างก็มีแนวทางการดำเนินงานต่างๆ กันขึ้นอยู่กับระบบการเมืองการปกครองและความเป็นมาของการให้บริการทางการแพทย์ของประเทศนั้นๆ สี่เสาหลักสำหรับประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขในช่วงต่อไป ควรแยกงานการเป็นผู้วางนโยบาย เป็นผู้ให้บริการ และเป็นผู้กำกับให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และกำกับดูแล (monitor) ผู้ให้บริการอย่างสร้างสรรค์และเป็นระบบยิ่งขึ้น โดยปรับเพิ่ม/ลด ส่วนงานระดับกรมในกระทรวงให้รับกับบทบาทเหล่านี้อย่างชัดเจน และแต่ละกรมหรือสำนักงาน (ที่มีฐานะเทียบเท่ากรม) มีความรับผิดชอบ และสามารถบริหารจัดการงานอย่างค่อนข้างอิสระ ภายใต้นโยบาย การกำกับ และความรับผิดรับชอบ (accountable) ต่อปลัดกระทรวงและรัฐมนตรีตามลำดับ health authority งานด้านนโยบายสุขภาพของประเทศมีความสำคัญและมีขอบเขตกว้างขวาง เพราะครอบคลุมประชาชนทุกช่วงชีวิตและทุกระดับชั้นทางสังคม เพื่อสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพให้กับประชาชนในประเทศด้านการดูแลสุขภาพตนเองให้ปลอดโรคภัย การมีสภาพแวดล้อมทั้งเรื่องอาหาร น้ำ ยา อากาศ ฯลฯ ที่ปลอดภัยและการเข้าถึงบริการตามสถานภาพและระดับของสุขภาพ งานระดับนโยบายหรือเสนอนโยบายที่มากระทบสุขภาพของประเทศ ทั้งในเชิงรุกและตั้งรับให้ทันท่วงที นอกจากที่ทำอยู่แล้วในกระทรวง เช่น ก. นโยบายเพื่อส่งเสริมและสร้างความตระหนักรู้ดูแลตนเองให้กับประชาชนในระดับบุคคลและนโยบายต่างๆ ที่มุ่งผลเพื่อให้ประชาชนมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีสุขภาวะ เพื่อให้มีสุขภาพดี ข. นโยบายและมาตรการที่เป็นรูปธรรมเพื่อรับกับ aging society ค. นโยบายด้านการสร้างบุคลากรทางการแพทย์ ง. หาทางเลือกของนโยบายเพื่อลดภาระการเงินการคลังของประเทศในอนาคต เช่น การเพิ่มผู้ซื้อบริการให้มากกลุ่มขึ้น การให้โรงพยาบาลเปิดใหม่ของเอกชนต้องเป็นหน่วยบริการของสปสช. หรือไม่ สนับสนุนเอกชนในการเปิดบริการผู้สูงอายุที่น่าเชื่อถือ ฯลฯ เพื่อแบ่งเบาภาระการลงทุนในโรงพยาบาลของภาครัฐ ฯลฯ จ. กำหนดแนวทางด้านปริมาณ คุณภาพ บริการที่ให้ ในส่วนที่เกี่ยวกับสถานบริการ โรงพยาบาล และงานบริบาลภาครัฐและเอกชน ฉ.          มีส่วนมีเสียงในการให้ความเห็นเกี่ยวกับนโยบายของรัฐที่เพิ่มผู้ป่วยทั้งทางตรงและทางอ้อมให้กับระบบรักษาพยาบาลของไทย เช่น การส่งเสริมการท่องเที่ยว (medical tourism) การชูการรักษาพยาบาลว่าเป็นจุดเด่น (medical …

เรื่องที่อยากรู้เกี่ยวกับสุขภาพ

นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่รู้ว่า ปัญหาสุขภาพในพื้นที่เกิดจากการใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืช คนทำงานป่วยเป็นโรค บางคนตายคาไร่ และผู้บริโภคก็ป่วยด้วย จึงหาทางแก้ปัญหาที่ต้นตอในระดับพื้นที่ โดยสนับสนุนการปลูกและเปิดช่องทางการขายข้าวและพืชผักต่างๆ ที่เป็นเกษตรอินทรีย์ แทนสินค้าเกษตรที่แถมยาฆ่าแมลงและสารเคมีต่างๆ ให้กับผู้บริโภค เรื่องนี้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสามารถทำงานร่วมกับ องค์การบริหารส่วนท้องถ่ิน โรงพยาบาลสุขภาพระดับตำบล  อาสาสมัครสาธารณสุข คนจำนวนมากห่วงสุขภาพตนเอง และพยายามดูแลตนเองอยู่่ สังเกตได้จากข่าวสุขภาพใน line ติดอันดับพอๆ กับข่าวลือ (ไม่นับ good morning และดอกไม้สวยๆ ที่ copy แล้ว forward) แต่ความรู้ในไลน์เชื่อได้เพียงไหน องค์กรที่มีความรู้ด้านสุขภาพออกมาพูดเองน่าจะได้น้ำหนักมากกว่า   การให้ความรู้คือการสร้างพลังให้กับประชาชน ไม่ว่าประชาชนผู้นั้นจะเป็นผู้ผลิตหรือผู้บริโภค และเป็นการตัดข้อแก้ตัวว่า “ไม่รู้” ของผู้ผลิตและผู้จำหน่ายลงไปได้ รวมทั้งฝ่ายผู้บริโภคและองค์กรต่างๆ ควรออกมาช่วยกันกดดัน เรียกร้องให้ผู้ค้ารายใหญ่ต้องรับผิดชอบกับสินค้าที่วางขายในสถานประกอบการของตนว่าตรงตามคุณภาพ เช่น บอกว่า ปลอดสารเคมี ก็ต้องมีมาตรการดูแลให้ปลอดสารเคมีจริง ระบุว่าออร์แกนิก ก็ต้องออร์แกนิกจริง เป็นต้น ผู้ค้าบางรายเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ด้วย การสร้างความน่าเชื่อถือยิ่งเป็นเรื่องจำเป็น และเป็นความรับผิดชอบต่อสังคมโดยตรง เพราะการค้าขายที่เป็นธรรมคือการค้าขายที่ไม่เบียดเบียนผู้ผลิตและผู้บริโภค   งานประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้ต่างๆ ถ้าท้องถิ่นหรือราชการส่วนภูมิภาคคิดขึ้นมาได้  ก็น่าจะนำไปเผยแพร่ต่อระดับชาติได้ งานให้ความรู้บางเรื่อง ถ้าส่วนกลางสื่อสารตรงถึงผู้บริโภคและผู้ผลิตน่าจะได้ผลมากกว่า โดยสร้างอิทธิพลทางความคิดผ่านการส่งต่อ ช่วยให้การสำทับย้ำเตือนโดยผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ทำง่ายขึ้น หลายเรื่อง ถ้าทำให้เห็นจริงจังเป็นรูปธรรมจะช่วยสร้างความเข้าใจได้ดีขึ้น เช่น เบาหวาน เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายทั้งระยะสั้นและระยะยาว คนหัวดื้อก็อาจจะเปลี่ยนใจกลายเป็นคนหัวอ่อนดูแลตนเอง เพราะเข้าใจได้ด้วยตนเองแล้วว่า การที่หมอห้ามกินโน่นห้ามกินนี่ไม่ใช่เพื่อหมอ แต่เพื่อตัวผู้ป่วยเอง การใช้ยาไม่ถูกต้อง ใช้ยามากไป – น้อยไป ใช้บ่อยไป ใช้ไม่ครบชุด อาจมีผลเสียต่อระบบในร่างกายอย่างไรบ้าง ก็น่ารู้ อาหารปลอดภัย อาหารปนเปื้อน เกิดอะไรขึ้นภายในร่างกายบ้าง งานให้ความรู้ทางสื่อตอนนี้มักใช้วิธีสัมภาษณ์ที่ชวนให้หมุนไปหาทีวีช่องอื่น ควรเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่ง   งานด้านสุขภาพเกี่ยวพันถึงกรมแรงงาน กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม ฯลฯ เพราะเกี่ยวกับคน ถ้ากระทรวงสาธารณสุขไม่เป็นฝ่ายรุกและป้องกัน ก็จะต้องเป็นฝ่ายรับที่ปลายทาง เมื่อคนดีกลายเป็นคนป่วย เงินทำเร่ื่องให้ความรู้ระดับประเทศมีอยู่มากมายในองค์กรต่างๆ เนื้อหาและกลุ่มเป้าหมายมีอยู่ที่โรงพยาบาล กรมอนามัย มหาวิทยาลัย ฯลฯ ขอเพียงกระทรวงสาธารณสุขเป็นคนเคาะ จัดระบบ และริเริ่มงานนี้ระดับชาติ เพื่อสู้กับข่าวสารสุขภาพที่ไลน์บอก (อ้างหมอ) เพื่อเสริมข้อมูล และสร้างความสะดวกให้กับงานในพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนทุกคนรับรู้ว่า สุขภาพเป็นเรื่องส่วนตัว ที่ตนต้องดูแล เพื่อให้ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายรับรู้ว่า สิ่งใดเป็นอันตราย ไม่ควรทำ หรือห้ามทำ หรือเป็นภาระหน้าที่ต้องตรวจตราดูแลไม่ให้เกิดขึ้น   ถ้าเงินไม่พอสำหรับทำโครงการให้ความรู้ ก็อาจคิดเก็บภาษีเพิ่มจากสินค้าต้นเหตุ เช่น ขนมและนมที่หวานเกินขนาด  พลาสติก โฟม ยาเคมีต่างๆ ในการเกษตร ผู้ผลิตที่ไม่อยากเสียภาษีเพิ่มก็คงจะผลิตสินค้าคุณภาพที่ต้องประสงค์มากขึ้น   ตอนนี้ผู้ที่พยายามดูแลสุขภาพต้องเสาะแสวงหาความรู้ และหาอาหารปลอดภัยเอาเอง จนดูเหมือนเป็นคนอยู่ยากกินยาก ส่วนอีกบางคนไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่คิด ได้ใช้เงินเพื่อทำลายสุขภาพตนลงไปเรื่อยๆ การซ่อมสุขภาพแม้จะฟรีก็ไม่คุ้มกับการเจ็บตัว จิตตก และความลำบากของญาติพี่น้องในยามต้องดูแลคนป่วย   สิทธิพื้นฐานอันหนึ่งของประชาชนควรเป็นสิทธิในการได้กินได้อยู่อย่างปลอดภัย คนไทยควรได้บริโภคทุกอย่างที่ได้คุณภาพ ซึ่งเราทำได้ แต่เราผลิตแล้วเราส่งออกเกือบหมด ไม่เก็บไว้บริโภคกันเองในประเทศ Health Literacy คืองาน promotion & prevention ในตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการป้องกันไม่ให้คนจำนวนหนึ่งใช้เงินซื้ออาหารที่กินแล้วทำร้ายตนเอง ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว  

โรงพยาบาลสุดแดนสยามสามทิศ

ประชุมครั้งที่ ๑๕ (ครั้งที่ ๓ ของปี ๒๕๕๙) ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๙ สถาบันวิจัยฯ  สรุปปิดงานโครงการส่วนที่รับทำ ประธานเกริ่นหัวข้อต่างๆ ที่จะบรรจุลงในรายงานส่วนของคณะกรรมการทั้งจากความเห็นที่ได้ในห้องประชุม ในการออกไปพื้นที่ และการสนทนากับกรรมการแต่ละคน ที่ทำมาตลอดปี โดยนำเสนอเป็นแผนภาพ ให้เห็นหลักการคิดเกือบทั้งหมดที่คิดไว้แล้ว และขอความเห็นเพ่ิมเติมจากคณะกรรมการ   ประชุมครั้งที่ ๑๖ (ครั้งที่ ๔ ของปี ๒๕๕๙) ๒๑ มีนาคม ๒๕๕๙ ในห้องประชุมอันร้อนระอุเพราะแอร์เสีย ของ สวปก. ซึ่งไม่เคยมาประชุมมาก่อน ประธานนำเสนอสิ่งที่เขียนเอาไว้ แต่ลืมพิมพ์ออกมาแจก  รวดเดียวจบ แล้วขอความเห็นเพ่ิมเติมอีกครั้งเพื่อปรับปรุงข้อมูลและข้อเสนอ ทุกฝ่ายรับทราบและให้ข้อคิดความเห็น ประธานรวบเรื่อง จบงานของคณะกรรมการ โดยส่วนที่แก้ไขและรายงานฉบับเต็มจะส่งให้ทุกคนได้อ่านและแก้ไขอีกครั้งทาง อี เมล์ แล้วจัดส่งท่านรัฐมนตรีภายในสิ้นเดือน เจ้าหน้าที่ของ สป. นำหนังสือนำส่งมาให้ลงนามถึงรัฐมนตรี และสำเนารายงานส่งปลัดกระทรวง เป็นอันจบงาน เอกสารน่าจะออกจากกระทรวงวันที่ ๓๐ มีนาคม น่าประหลาด เป็นวันเดียวกับที่ข้าพเจ้าจบรายงาน ศปร. อันเป็นรายงานที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแต่งตั้งเมื่อเกือบ ๒๐ ปีมาแล้ว คราวนั้นข้าพเจ้าเป็นกรรมการและเลขานุการของคณะกรรมการ หวังว่าสิ่งที่ได้ทุ่มเททำมาตลอดปีจะมีผลดีต่อวงการสุขภาพของประเทศของเราได้พอสมควร   เอกสารรายงานของคณะกรรมการฯ ซึ่งรวมสรุปรายงานของบริษัทฯ สถาบันฯ และผู้บริหารโครงการฯ เป็นเอกสารของ สธ. แต่ สธ. ไม่มีงบจะจัดพิมพ์เผยแพร่  ใครที่สนใจน่าจะขอได้ โดยตรง และ สป. จะส่งให้แบบที่ถูกเงินที่สุดคือทาง อีเมล์     ข้อคิดปิดท้ายบันทึก ว่าด้วย เก่ง ดี กล้า จะปกป้องคนดีไหม ระบบราชการ เช่น สธ และระบบงบประมาณของไทย ลงโทษคนเก่งที่ดี ด้วยการลดเงินสนับสนุน เพราะทำงานได้ดี ก็ไม่ต้องการงบประมาณมาก ถูกแล้วหรือ คนไม่ดีที่กล้า สามารถเข้าครองอำนาจและตำแหน่งผ่านพรรคพวกเพื่อนพ้อง และการข่มขู่คุกคาม ส่วนคนเก่งและดี เมื่อไม่มีความกล้า ก็ไม่อาจทำสิ่งสำคัญๆ ให้สำเร็จได้ และอาจจะแย่ยิ่งกว่าคนเก่งกล้าที่ไม่ดี เพราะดีหรือไม่ดี อาจจะเห็นผลได้ชัดในอนาคต แต่ถ้าไม่กล้าเสียแล้ว ก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด   เรื่องสืบเนื่อง ๑๑ เมษายน ๒๕๕๙ มีนัดไปรายงานท่านรัฐมนตรี  ที่ปรึกษา และผู้ช่วยของท่าน และปลัดฯ ทำรายงานออกมาเป็นรูปเล่มหนังสือเอง เพื่อมอบให้ท่านรัฐมนตรีเป็นการเฉพาะ   ๒ พฤษภาคม ได้รับนัดไปนำเสนอเรื่องต่อ คณะกรรมการ สปสช.  

โรงพยาบาลสุดแดนสยามสามทิศ

ประชุมครั้งที่ ๑๓ (ครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๕๙) ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ผู้รับผิดชอบทั้ง ๓ โครงการ มานำเสนออย่างพร้อมเพรียงกัน   รวบความคิดเข้าด้วยกัน ตลอดเดือนกุมภาพันธ์ ข้าพเจ้าเอารายงานการประชุม เอกสารและหนังสือทั้งหมดที่ได้รับ และบันทึกที่จดไว้ตั้งแต่เริ่มงานออกมาเรียงเต็มชั้นในบ้าน แล้วเริ่มอ่านรอบอีกครั้งเพื่อปะติดปะต่อภาพทั้งหมด ทบทวนปัญหาทั้งหลายและเช็คสอบกับแผนยุทธศาสตร์ สธ. พ.ศ. 2559 ทั้งแบบย่อและแบบยาวพร้อมตัวชี้วัด  เพื่อดูว่า ที่จะเสนอนี้อยู่ในกรอบความฝันของ สธ หรือเปล่า หลังจากนั้นก็เริ่มเขียนแผนภาพ และแผนผังความคิดและสิ่งที่จะนำเสนอ อันเป็นปกติของการทำงานของข้าพเจ้า ที่เริ่มทำภาพก่อนจะใส่เนื้อหา   การเมืองมีทุกแห่ง จากเอกสารต่างๆ มีเรื่องน่าสนใจ (แต่นอกเรื่องที่กำลังศึกษาคราวนี้) หลายเรื่อง แต่เรื่องหนึ่งที่ก้ำกึ่ง ขอนำมาคิดดังๆ ไว้ตรงนี้ หลายคนคิดว่าการตั้งองค์กรอิสระจะทำให้ปลอดจาก “การเมือง” เอาเข้าจริง ไม่ปลอดค่ะ  ดูตัวอย่างจากข่าวที่แพลมๆ ออกมา ว่าด้วยการเมืองภายในในการสรรหา (แต่เกือบกลายเป็นการเลือกตั้ง) ผู้บริหารของมหาวิทยาลัยต่างๆ พูดในฐานะที่เคยเป็นประธานคณะกรรมการ และเคยเป็นผู้บริหารที่มาจากการสรรหา ในคณะกรรมการระดับประเทศแล้ว บอกได้ว่า องค์กรจะปลอดหรือไม่ปลอดจาก “การเมือง” ระดับประเทศ  อยู่ที่ว่าคณะกรรมการขององค์กรนั้นและผู้บริหารระดับสูงขององค์กร ยอมให้ “การเมือง” ระดับประเทศ เข้ามาแทรกไหม  และตนเองมาด้วยวิธีทางการเมืองที่ต้องตอบสนองความประสงค์ของ “การเมือง” หรือไม่ คำฟ้องและคำวินิจฉัยของศาล ที่สำนักงาน ป.ป.ช. จัดพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ เปิดแฟ้ม 10 คดีทุจริต บทเรียนราคาแพงของคนไทย พิมพ์ครั้งที่ ๒, ธันวาคม ๒๕๕๘ บอกว่า “คณะกรรมการ…ประกอบด้วย .. ประธาน  .. รองประธาน และกรรมการ แต่งตั้งโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง …จำนวนไม่เกิน ๙ คน จึงเห็นได้ว่าทุกตำแหน่งอยู่ในสถานะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสามารถให้คุณให้โทษได้ และนายกรัฐมนตรีหรือรัฐบาลเป็นผู้กำกับดูแลกระทรวงการคลังอีกชั้นหนึ่ง”  เป็นข้อสรุป (หน้า 163) ที่อนุกรรมการตรวจสอบสรุปความเห็น เพื่อเป็นข้อฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อ พ.ศ. 2550     ประชุมครั้งที่ ๑๔ ๑๙ กุมภาพันธ์  ๒๕๕๙ ผู้บริหารโครงการฯ นำเสนอข้อมูลรวมทั้งระบบโรงพยาบาล ที่ทำขึ้นมาจากงบการเงิน เพื่อดูรายได้ ค่าใช้จ่าย ฯลฯ ที่เป็นภาพรวมทั้งระบบ สรุปว่า เกือบ 1/3 ของโรงพยาบาล มีเงินสดไม่พอใช้ทำงานในระหว่างปี ฯลฯ ฯลฯ   ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ บริษัทฯ ส่งรายงานให้ สป.  และจัดอบรมเจ้าหน้าที่เรื่องการทำต้นทุน ฯลฯ ตามที่ตกลงกันไว้   สถาบันวิจัยฯ จัดประชุม และนำเสนอข้อเสนอแนะ ให้ผู้บริหารส่วนกลาง และกลุ่มโรงพยาบาลที่เคยได้ข้อมูลได้รับฟังและออกความเห็นอีกครั้ง    

โรงพยาบาลสุดแดนสยามสามทิศ

เรื่องดีๆ ที่ได้มาจากการเดินทางดูโรงพยาบาล   •  health workforce เป็นจุดแข็งของระบบสุขภาพของประเทศเสมอมา หมอส่วนมากทำด้วยความรับผิดชอบ ด้วยความรู้จริงในงาน แต่ต่อไปข้างหน้าจะเป็นอย่างนั้นหรือไม่ ในท่ามกลาง โรงพยาบาลเอกชนที่มากหลาย ที่ทำให้หมอและบุคลากรทางการแพทย์ทุกระดับมีทางเลือกมากขึ้น เป็นแรงดูด และ ปัญหาการเงินที่หมอต้องเผชิญเมื่อทำงานในโรงพยาบาลสังกัด สป. และการไม่ได้รับการสนับสนุนจากส่วนกลาง เป็นแรงผลัก • เกิดอะไรขึ้นในระบบ หมอจึงทำงานหนักแต่ถูกวิจารณ์และคนไข้ก็ไม่รัก แถมหมอด้วยกันบอกว่า งานไม่หนักเท่าไหร่ จากการอ่านพบว่า คำวิจารณ์และตำหนิติเตียนหมอมักมาจากหมอด้วยกันเอง แต่หมอดี หมอเก่ง หมอตั้งใจทำงานเพื่อประโยชน์ของผู้ป่วยก็มีมาก สปสช.จะดังระดับโลกไม่ได้ถ้าหมอไม่ทำงาน  หรือคำตินั้นเป็นเพราะรู้ว่าศักยภาพมี แบบดุลูกคนเก่ง เพราะรู้ว่ามันเก่งได้มากกว่านั้นอีก ส่วนคนที่ไม่เอาไหน ก็ทำใจไปแล้ว แต่คำติเหมือนดาบสองคม ทางหนึ่งกระตุ้น แต่อีกทางหนึ่งบั่นทอน แบบไหนจะให้กำลังใจและได้ผลงานสูงกว่ากัน (ไม่ได้หมายความว่าให้ปกป้องไม่ว่าหมอคนนั้นทำผิดหรือถูก แต่ควรทำตามหลักว่า ติคนที่พึงติ ชมคนที่พึงชม) • ระบบราชการเป็นไง ใครๆ ก็ไม่รัก ข้อนี้ตอบไม่ได้ • ระบบ สปสช. กับ สธ. เป็นยังไง จึงเป็นคู่กรณีกันอยู่เสมอ เรื่องนี้สำคัญที่ทัศนคติ ขอยกไปไว้เดือนธันวาคม หัวข้อ provider / purchaser (ตอนสุดท้าย)   การเดินทาง (เกือบ) ทั่วไทยคราวนี้ ได้คำพังเพยมาหนึ่งบท ไม่ทราบว่าเก่าหรือใหม่  สสจ. ท่องให้ฟัง แทนภาษิตน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่าฯ ช่างกลึงพึ่งช่างชัก ช่างสลักพึ่งช่างเขียน ช่างติเตียน ไม่ต้องพึ่งใคร   ประชุมครั้งที่ ๑๒ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๘ บริษัทฯ รายงานผลการทำงานเท่าที่ทำมาแล้ว และยืนยันส่งมอบงานได้ตามกำหนด วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ คณะกรรมการเริ่มเตรียมตัวจะเขียนรายงานส่วนของตน รายงานมี ๓ ส่วนหลักๆ ส่วน background สป. และสปสช. เขียนในส่วนของตนๆ รายงานจาก ๓ โครงการ เป็น input และข้อเสนอแนะจากแต่ละมุมมองที่แตกต่างกัน บทนำและบทสรุปเพื่อเสนอนโยบายในภาพรวม คงเป็นงานที่กรรมการทำเอง จะจัดจ้างให้ใครทำแทนคงไม่ได้ ประธานไม่เกี่ยงที่จะเป็นผู้เขียน ขอให้ได้ข้อความเห็นมาเพ่ิมจากกรรมการทุกท่านให้ครบ ส่วนที่ผ่านมาได้บันทึกไว้เป็นลำดับแล้ว ในที่ประชุม ผู้ลงพื้นที่รายงานด้วยว่า การส่งเงินมาโรงพยาบาล จากการเบิกจ่ายไปยังสปสช. มักไม่มาเป็นรายรายการ ทำให้ลงบัญชีไม่ได้ หาค้างรับเพื่อล้างบัญชีไม่เจอ จึงทำให้ปรับปรุงตัวเองไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าที่เบิกไป ก้อนไหนไม่ได้เงินเพราะเหตุใด ฟังเรื่องการเงินและตัวเลขฝ่าย สปสช. มามาก คิดว่า สปสช. ควรได้รับการตรวจสอบระบบบัญชี และงบการเงินจาก ผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชี และผู้สอบบัญชีภายนอกสักครั้งหนึ่ง น่าจะดีกับทุกฝ่าย เพื่อก้าวสู่อนาคตอย่างมั่นคงบนพื้นฐานการเงินและบัญชียิ่งขึ้น   เก็บงาน ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๘ พบคุณหมอทั้งหลายที่เป็นกรรมการ หรือร่วมประชุมคณะกรรมการ ทั้งฝ่าย สธ. และ สปสช.  และเสริมด้วย คุณหมอวิชัย โชควิวัฒน อีกหนึ่งในหมอผู้เป็นหัวแรงการทำระบบสาธารณสุขระยะหลังของไทย หมอวิชัยให้หนังสือมาหลายเล่ม เป็นหนังสือที่อัดแน่นด้วยความรู้ ทั้งเรื่องภายในและเรื่องที่ค้นคว้ามาเล่าสู่กันฟัง   ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๘ ไปพบ สสจ. ที่จังหวัดสระแก้ว ผ่านโรงพยาบาลอภัยภูเบศร์ ฉลองที่รัฐบาลให้เครดิตภาษีถ้าใช้เงินซื้อของช่วงปลายปี อุดหนุนสินค้าที่อภัยภูเบศร์มาเป็นของขวัญปีใหม่ให้ญาติผู้ใหญ่ปีนี้ แต่นัดยังไงไม่รู้ เราไม่พบ สสจ. ที่สระแก้ว ต้องตามไปพบกลางทาง อีกอำเภอบนทางผ่านไปจันทบุรี และเราไปไม่ถึงจังหวัดตราด เป็นอันปิดงานเดินทางที่ตะวันออกสุดในสยาม ที่สระแก้วแทนที่จะเป็นตราด แต่ก็สุดแดนไทยเหมือนกัน เรื่องที่ประทับใจที่สุดจาก street fair ที่สระแก้วคือ ร้านค้าพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เราไม่ใช้โฟมบรรจุอาหาร เพราะท่าน …