All posts tagged: นวพร

กาลามสูตร กับกรณีพาราควอต

ก่อนที่ผู้ใดจะหลวมตัวอ่านบทนี้เพื่อหาคำตอบ ขอตอบไว้ตั้งแต่ตรงนี้ว่า บทความนี้มีแต่ประเด็นคำถาม ไม่มีคำตอบ  แต่….คำถามบางคำถามก็อาจจะเป็นคำตอบได้เหมือนกันนะ เครือข่ายสนับสนุนการแบนสารพิษที่มีอันตรายร้ายแรง ไปให้กำลังใจ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผอ.ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ รพ.จุฬาลงกรณ์ เพื่อปกป้องเสรีภาพทางวิชาการ  ในขณะเดียวกันตามที่ได้ยินมา คนที่ไม่ให้แบนเป็นสายกระทรวงเกษตรฯ ​ จริงไหมไม่รู้และด้วยเหตุผลอันใดไม่ปรากฏในรายงานข่าวที่อ่าน   แต่สรุปก็คือ คนที่มีน้ำหนักที่สุดในที่ประชุมด้านการนำไปใช้ ยังเห็นประโยชน์ ส่วนคนที่มีน้ำหนักที่สุดในด้านสุขภาพ อันเป็นผลที่เกิดจากการใช้ เห็นโทษ  เคยเห็นด้วยเต็มที่กับฝ่ายที่ต้องการแบนสารพิษนี้ เพราะว่าโดยส่วนตัวไม่ชอบวัสดุเคมีทุกชนิด และโปร ออร์แกนิกมาก  ดังนั้นจึงสนับสนุนทุกเรื่องที่จะให้เลิกใช้สารเคมี พอดีได้รับคำถามจากอาจารย์มหาวิทยาลัยที่เป็นเกษตรกรว่า “ไม่ให้ใช้สารตัวนี้จะให้ใช้อะไร”  คำถามชวนให้สะดุดคิดว่า ทางเลือกมีอะไรบ้าง  ไม่ใช่ว่าหนีเสือแล้วไปปะจระเข้       ต่อมาได้ยินเพิ่มเติมว่า สูตรเคมีตัวที่กำลังเป็นประเด็นกันอยู่นี้สิทธิบัตรหมดอายุแล้ว  ใครๆ ก็ผลิตได้ ราคาจึงถูก  ส่วนพวกที่ต่อต้านไม่ให้ใช้ บางคนต่อต้านด้วยความจริงใจ แต่บางคนก็อาจจะกระทำโดยมีผลประโยชน์แอบแฝง ให้เกษตรกรหันเหไปใช้สารตัวใหม่ที่ยังมีสิทธิบัตรอยู่ ซึ่งแพงกว่าแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าปลอดภัยกว่าหรือเปล่า เพราะอายุการใช้งานยังสั้น การวิจัยเรื่องผลกระทบจึงยังมีไม่มาก  ผิดจากสารตัวแรกที่ใช้มายาวนาน การวิจัยถึงผลกระทบมีมากมาย ในเวลานี้ จึงเกิดกังวลขึ้นมาว่า หรือว่าเรากำลังถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือ เข้าทำนองเตะหมูเข้าปากหมา แต่ว่าการจะ “รู้เขา” และ “รู้เรา” ในเรื่องนี้ซับซ้อนมาก ต่างคนต่างหลอก ต่างคนต่างมีผลประโยชน์แฝง และคนมีจุดยืนโดยสุจริตก็มี ทำให้สับสนอย่างยิ่ง   อย่างไรก็ตาม สารภาพว่าตนเองตั้งจุดยืนโดยตกหลุมดักทั้ง ข้อ ๘ และข้อ ๑๐ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน เกสปุตติยสูตร (ที่รู้จักกันทั่วๆ ไปในชื่อ กาลามสูตร)    อย่าได้ปลงใจเชื่อ ยึดถือเอาคำสอนคำบอกเล่าใด โดยการรับรู้ตามกันมา โดยการถือสืบๆ กันมา โดยเป็นข่าวลือ โดยการอ้างตำรา โดยตรรก โดยการอนุมาน โดยการคิดตรองตามแนวเหตุผล เพราะเข้ากันได้กับความเชื่อของตน เพราะเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อ เพราะนับถือว่าท่านผู้นี้เป็นครูของเรา เมื่อใดที่รู้ด้วยตนเอง จึงพึงปฏิบัติ ดร. ระวี ภาวิไล ได้เขียนขยายความไว้ในหนังสือ หลักพุทธธรรมที่ใช้เป็นรากฐานของสังคมไทย ในยุคเทคโนโลยีภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองถึงปัจจุบัน พ.ศ.​๒๕๕๑ ว่า “ความรู้ด้วยตนเอง จะทำให้เกิดขึ้นได้อย่างไร  “ปัญญามี ๓ ประเภท จินตามยปัญญา เกิดแต่การพิจารณาหาเหตุผล ตรงกับหลักข้อ ๔  ๖ ๗ ข้างต้น สุตามยปัญญา เกิดจากการสดับเล่าเรียน เทียบได้กับข้อ ๑  ๒  ๓ ๔ ข้างต้น ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดแต่การฝึกอบรม  ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ถ้ายึดถือเอาตามข้อ ๘  ๙ ๑๐​ ข้างต้น ก็คือเชื่อโดยไม่ใช้ปัญญา  “การเชื่อโดยไม่ใช้ปัญญา น่าเป็นห่วง ข้อที่คนมักเป็นคือข้อ ๘ กับข้อ ๑๐ ถ้ารุนแรงก็ถึงขั้นคลั่งลัทธิ ‘ครูกู (นายกู หัวหน้ากู)  เท่านั้น…ถูก คนอื่นเหลวไหลไม่ได้ความ’ … เริ่มคิดว่าฝ่ายที่ไม่เชื่ออย่างตนเป็นศัตรู เป็นมาร ที่จะต้องกำจัด … แทนที่จะให้ความเคารพต่อความเป็นบุคคลของผู้อื่น ก็มักจะใช้ความรุนแรง ด้วยความยินดี ความทุกข์ได้เกิดขึ้นในโลกมากมายเพราะอกุศลธรรมเช่นนี้” (หน้า ๒๗)  ต้องกลับมาถามตัวเองใหม่ว่า ทั้งคนที่สนับสนุนให้ใช้ต่อ และคนที่สนับสนุนให้เลิกใช้ แต่ละคน/องค์กร คือใคร  ทำอาชีพใด มีผลประโยชน์ทางตรง หรือทางอ้อมกับประเด็นนี้อย่างไร  มีความรู้ลึกซึ้งแค่ไหน น่าเชื่อถือเพียงใด   และแต่ละคน/องค์กรยกเหตุผลอะไรขึ้นมาพิจารณาก่อนลงความเห็นสนับสนุนหรือคัดค้าน เหตุผลของกรรมการบางท่านที่ตัดสินใจแบน เราได้ยินได้ฟัง เมื่อท่านเปิดเผยตัว  แต่เหตุผลของกรรมการท่านอื่นๆ ที่ใช้ประกอบการตัดสินใจว่าจะแบนหรือไม่แบน หาไม่เจอในที่ไหนๆ ยกเว้นที่เล่าลือสืบๆ กันมา (เป็นปัญหาเรื่องความโปร่งใส ที่เป็น governance ข้อหนึ่งในพีงมีสำหรับสังคมที่เน้นความรู้คิดของพลเมือง) คราวนี้ก็ต้องเริ่มจากสุตมยปัญญา …

Startup: 1 2 3 Go

บทความชุดนี้เขียนให้บริษัทประกันชีวิต อยุธบาอลิแอนซ์ เป็นตอนๆ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2559 ไปตลอดปี 2560 และสิ้นสุดเมื่อต้นปี พ.ศ. 2561 นำมารวมขึ้น blog ไว้ เหมือนเป็นหนังสือพ็อกเก้ตบุ๊ก ๑ เล่ม เพื่อประโยชน์ของผู้ที่คิดทำตั้งกิจการใหม่เป็นของตนเองทุกคน ให้ดำเนินการได้ราบรื่นและรุ่งเรือง ข้อเขียนไม่ใช่สูตรสำหรับความสำเร็จในธุรกิจ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นทุกคนที่อ่านก็คงประสบความสำเร็จไปหมดแล้ว  ผู้เขียนตั้งใจถ่ายทอดประสบการณ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อให้ผู้ที่สนใจทำกิจการใหม่ของตนเองได้เรียนรู้ที่จะ ๑. ระมัดระวังกิจการของตนและตนเองไม่ให้หลุดตกลงไปในหลุมดักบางหลุมที่ผู้ประกอบการอื่นได้เคยตกไปแล้ว ซึ่งทำให้ต้องเผชิญกับอุปสรรคหลายประการที่สามารถหลีกเลี่ยงได้  และ ๒. เห็นเงื่อนแห่งความสำเร็จของผู้ประกอบการอื่น ที่ตนอาจนำไปประยุกต์และขยายผลเพื่อความสำเร็จในธุรกิจสตาร์ทอัพของตน ขอให้ทุกคนที่มุ่งหวังจะสร้างสตาร์ทอัพ ได้ประสบความสำเร็จสมดังตั้งใจ นวพร เรืองสกุล  กุมภาพันธ์ 2562   สารบัญ ใบเสร็จ ภาษี                       บีโอไอ cost effective                     ขยายงานให้พอดีตัว vision                               business structure business model                 รร นานาชาติ ทุน คน ลูกค้า         CEO เลือกใครมาร่วมงานเป็นคนแรก ดูในไฟล์ scrap ด้วย 10.from idea to action to growth: eBay            1 + 1 > 2   แบ่งประโยชน์ให้ลงตัว     UberEATS   ศูนย์การค้าและ Tianzifang ขาดทุนคือกำไร   จากความคิดสู่ความสำเร็จ  คิดไม่ครบ คิดให้ครบ  ไอเดียดี ไม่จำกัดที่ตำแหน่งงาน (การฟังแก้ปัญหาได้)     sharing economy  George Lucas Pixar /Zoetrope สิ่งเล็กๆ  (จาก Airbnb เนื่องในงานพระเมรุ) partners for life (หา partners คิดตอนเลิกด้วย) exit strategy The Founder บัญชี ภาษาอีกภาษาหนึ่ง  เหมือนวิชาชีพอื่นๆ ​ เหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลง

สายลมพัดผ่านฉางหลิน (หลางหยาป่าง ภาค ๒) – ริษยาพาชาติ (เกือบ) ล่ม   

ภาพยนตร์ที่ดีสำหรับดิฉันคือภาพยนตร์ที่ดูแล้วมีเรื่องคาใจให้ต้องเปิดวงสนทนาระบายความคิดและถกเถียงกัน  จบการสนทนา เราแต่ละคนต่างก็ได้ “อะไร” เพิ่มขึ้นมา (เขาเรียกว่า dialogue)   หลางหยาป่างภาค๒  “สายลมพัดผ่านฉางหลิน” เข้าข่ายภาพยนตร์ดี ในความหมายนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องของพายุแห่งริษยาที่โหมกระหน่ำใส่จวนฉางหลินของอ๋องผู้เป็นตัวละครอายุ๑๐กว่าขวบในภาคแรกในภาคนี้กลายเป็นผู้อาวุโสที่มีลูกและมีหลานปู่แล้ว    ขอยกข้อคิดที่ได้นำมาคุยกันในกลุ่มคนชอบหนังเรื่องนี้มาคุยต่อเป็นบางประเด็นดังนี้  คุณค่า  ภาพยนตร์เรื่องนี้เขียนให้ฝ่ายที่ทำงาน ฝ่ายที่ตั้งใจดี เป็นฝ่ายตั้งรับ   ฝ่าย “ร้าย” เป็นฝ่ายรุกโดยที่ฝ่ายตั้งใจดีรู้ตัวและไม่รู้ตัว ทั้งตั้งรับทัน และคาดคิดไม่ถึง  เราได้เห็นวิธีการสืบเสาะหาร่องรอย หาความจริงออกจากกองข่าวลือต่างๆ  เห็นการฟัง – คิด – ถาม/หาข้อมูล – ฟัง – ประเมินสรุป   การสืบค้นเอกสารต่างๆได้บทเด่นมากในภาพยนตร์เรื่องนี้ ชัดเจนถึงการเป็นนักจดบันทึกและเก็บรักษาบันทึกของคนจีน  มีเรื่องราวใดเกิดขึ้นมา คำถามแรกคือ “เรื่องแบบนี้เคยมีมาก่อนหรือไม่  อย่างไร ที่ไหน  แก้ปัญหากันอย่างไร”   ที่หาความรู้และคำตอบคือ “ห้องสมุด” หรือปูมประวัติ ไม่ว่าจะที่หอหลวง หรือในสำนักหลางหยา ซึ่งเป็นนักบันทึกข้อมูลตัวยง   คุณค่าสำคัญที่ท่านอ๋องผู้ชราฝากไว้กับคนรุ่นลูกคือ “อย่าแบ่งข้างอย่าหาพวกเพราะพอมีพวกและแบ่งข้างแล้วดีชั่วถูกผิดจะกลายเป็นประเด็นรอง” …  ผู้เฒ่า คนแก่สมัยนี้น่าจะอยากบอกอนุชนทุกคนเช่นเดียวกัน โมหะ  เจ้าของวลี  “ใจคนเปลี่ยนได้” “ใจคนปลิ้นปล้อน”  มักนำวลีแบบนี้ไปใช้เฉพาะกับคนที่ตนระแวง  สำหรับคนที่ตนคิดว่า “เป็นคนในกำกับ” กลับไม่ระแวงอย่างสิ้นเชิง  กระทั่งตนเองก็ลืมมองตนว่า ตนนั้น “เปลี่ยนไปแล้ว” เพราะอำนาจที่ตน “จัดการ” ให้ได้มาอยู่ในมือเป็นผู้เปลี่ยนตน นับว่าเป็นคนสองมาตรฐาน (standard ที่ใช้กับกู และ standard ที่ใช้กับมึง)     เหตุการณ์ในเรื่องทำให้ตั้งคำถามว่าใจคนเปลี่ยนจริงหรือหรือว่าคนพูดต่างหากที่อ่านคนไม่เป็นจึงไว้ใจคนผิด  มองไม่ออกว่าใครคือมิตร ใครคือศัตรู ใจส่วนลึกของแต่ละคนเป็นเช่นไรแน่    คนที่ “ดี” บังตาอาจเริ่ม “เพื้ยน” อย่างร้ายแรงได้ เช่น –  กองทัพที่ปกป้องชายแดนให้แคว้นอย่างดี ชนะทุกศึกที่ศัตรูเข้ามารุกราน  กลับโดนลอบกัดเพียงเพราะขุนนางบางคนอยากให้ “แพ้ๆ ซะมั่ง”  ไม่งั้นเด่นเกินหน้าทหารกองอื่นๆ  – ออกคำสั่งให้หยุดรบในสถานการณ์ที่กองทัพกำลังได้เปรียบ  เพียงเพราะต้องการสกัดดาวรุ่งดวงใหม่ในวงการทหาร    มหาอำมาตย์เรียกสิ่งที่ตนกระทำว่า “สร้างสมดุล” หรือ “ถ่วงดุลอำนาจ” เพื่อความมั่นคงของอนาคตฮ่องเต้วัยเยาว์ที่เป็นหลานของตน  แต่คนดูอย่างดิฉันเห็นการกระทำงี่เง่าแบบนั้นเป็นเพียงเกมของอำนาจ ขับเคลื่อนด้วยโมหะและริษยา โดยผู้กระทำมีวลีสวยๆ มาเคลือบไว้ หลอกทั้งผู้อื่นและตนเองว่า การกระทำของตนสมเหตุสมผล  (ไม่ใช่ reason แต่เป็น rationalization เพื่อ justify การกระทำ)   โดยใช้คำว่า  “บาลานซ์อำนาจ”  ระหว่างฝ่ายพลเรือน (คือฝ่ายตน) กับฝ่ายทหาร แต่ว่าแท้จริงมีสองมาตรฐาน เพราะการสร้างสมดุลแห่งอำนาจของท่านอำมาตย์ มีความหมายว่าฝ่ายทหาร ขึ้นกับกรมคุมกำลัง และขึ้นกับฝ่ายตน  ทั้งหมดนี้ไม่มีทุกข์สุขของไพร่พล และความสงบสุขของประชาชนอยู่ในสมองของคนที่เล่นเกมเลย   โมหะพาให้พลาดหนักถึงขั้นตัวตาย หลานหวุดหวิดตกบัลลังก์ และแว่นแคว้นของตนตกอยู่ในอันตราย    (ฟังแล้วคุ้นๆ และน่าหวั่นใจจริงๆ )   อันที่จริงท่านอำมาตย์สับสนระหว่างการปกป้องฮ่องเต้ผู้เยาว์วัย กับการปกป้องแผ่นดิน   และกว่า ฮ่องเต้วัยสิบกว่าขวบจะได้บทเรียนว่า “การถ่วงดุลอำนาจระหว่างฝ่ายต่างๆ ในการปกครอง ทำได้ แต่ต้องไม่ลืมดูแลทุกข์สุขของประชาราษฎร์ด้วย”  ก็แทบจะสายเกินแก้  ประเด็นเรื่องการถ่วงดุลอำนาจ   การถ่วงดุลคือทำน้ำหนักสองข้างให้ได้ดุลกันซึ่งทำได้สองทางคือลดทอนฝ่ายที่เข็มแข็งลงหรือว่าเพิ่มพลังให้ฝ่ายที่ด้อยกว่า  ถ้าฝ่ายเข็มแข็งถูกลิดรอนให้อ่อนแอ  จะดีต่อส่วนรวมหรือไม่  เทียบกับทำให้ฝ่ายที่อ่อนแอเข้มแข็งขึ้น  โดยใช้วิธีให้ต่างคนต่างแข่งกันเก่ง      ผู้จะทำหน้าที่ถ่วงดุลระดับขุนนางฝ่ายบู๊กับฝ่ายบุ๋น คือฮ่องเต้ ไม่ใช่ขุนนางฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด  ดังที่อ๋องแห่งฉางหลิน (ท่านลุง) สอนฮ่องเต้องค์เด็กว่า “อยากจะสร้างดุลอำนาจ ฮ่องเต้ต้องเป็นคน “สั่งเอง”  เป็นอำนาจที่ต้องใช้เอง”   การไม่เข้าใจศิลปะแห่งการใช้ดุลอำนาจแบบที่ฮ่องเต้คนพ่อเคยใช้  ก่อให้เกิดปัญหาตามมามากมายแก่ฮ่องเต้เด็ก คือ  ๑) ทำให้ดูเป็นคนอ่อนแอในสายตาคนอื่นๆ  เพราะออกคำสั่งภายใต้การสั่งการของแม่ (ฮองเฮา) และลุง (มหาอำมาตย์)  ๒) …

ไทยพีบีเอส ควรเป็นอย่างไร

คำถามท้าความคิด-  ถ้าคุณเป็นผู้อำนวยการ /กรรมการ/ภาครัฐที่ต้องดูแลองค์กรแบบนี้ คุณจะมีแนวทางอย่างไร คำตอบยาวมากค่ะ ถ้าเป็นผู้อำนวยการ  ดิฉันขอคณะกรรมการที่เข้าใจเรื่องของ PBS หรือ PSB (การแพร่ภาพเป็นบริการสาธารณะ) อย่างแท้จริงด้วย ถ้ากรรมการไม่เข้าใจก็ขอให้ปล่อยให้ดิฉันและทีมงานที่เสนอตัวเข้ามาทำได้ทำ แล้วคอยดูผล ขอให้กรรมการถือพระราชบัญญัติเป็นไม้บรรทัดคอยวัดผลงาน แทนการถือระเบียบราชการคอยวัดทุกฝีก้าว โดยไม่ให้ความสำคัญหลักกับผลงานขององค์กร) คณะกรรมการที่จะรับรู้ว่า ไทยพีบีเอส เป็นทั้งเจ้าของสถานีและผู้ผลิตรายการที่ไม่ต้องแข่งขันกับใคร จึงอาจจะเฉื่อยและหย่อนประสิทธิภาพได้ง่าย ดังนั้นคณะกรรมการและผู้อำนวยการจะต้องมี KPI เพื่อให้บรรลุผลในการเป็น provider ที่มีความสามารถ นำเสนอรายการคุณภาพ และเป็น distributor ที่มีประโยชน์ต่อสังคม สามารถหารายการมีคุณภาพในราคาที่เหมาะสมมาป้อนผู้แพร่ภาพในประเทศได้ ยกตัวอย่างสิ่งที่อาจจะแปลงเป็น KPI ได้ดังนี้ การทำหน้าที่ provider ไม่จำเป็นต้องผลิตเองเพื่อแข่งขันกับเอกชน  แต่ส่งเสริมให้อุตสาหกรรมการผลิตภาพยนตร์ที่มีสาระได้เติบโต จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติมากกว่า  โดยการคัดเลือกผู้ทำรายการต้องได้สมดุลระหว่างคนมืออาชีพเดิม กับคนหน้าใหม่แต่มีผลงานดีมีศักยภาพที่จะเติบโต วัดผลคุณภาพได้หลายทาง เช่น *สามารถขายรายการที่ผลิตได้ ให้กับสถานีอื่นทั้งในและต่างประเทศ ทั้งสถานีที่ทำเพื่อการค้าและในสถาบันการศึกษา  เพราะนี่คือจุดวัดความสามารถในการแข่งขันที่ดีที่สุด และไทยพีบีเอสก็คงไม่อาจจะอ้างได้ว่ายากไป เพราะประเทศเพื่อนบ้านก็ดูรายการโทรทัศน์ของเราและประเทศเรามีนักท่องเที่ยวเข้าประเทศเป็นสิบล้านคน น่าจะมีผู้สนใจเรื่องราวด้านต่างๆ ของไทย สุวรรณภูมิ หรืออาเซียน จำนวนไม่ใช่น้อย *สามารถขายแผ่น DVD สารคดีเหล่านี้ได้ วัดผลงานจากรายรับค่าขายสินค้า + วัดผลงานจากการได้รับการสนับสนุนรายการ (ทั้งเป็นเงิน และเป็นสินค้าและบริการ) และเงินบริจาคคิดเป็นจำนวนเงิน/ปี ด้วย *ผู้ผลิตมืออาชีพ สามารถนำผลงานไปประกวดหรือขายในต่างประเทศได้ด้วยตนเองด้วย และกลายเป็นผู้ผลิตระดับสากล *ผู้ผลิตอิสระ ผู้ผลิตหน้าใหม่ ทั้งนิสิตนักศึกษาและผู้สนใจ ฯลฯ  มีเวทีแสดงออกและสามารถก้าวต่อไปเป็นมืออาชีพได้ทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ  โดยที่ทางไทยพีบีเอสออกไปเสาะแสวงหาและพัฒนาแทนการรอรับข้อเสนอ  และเวลาออกอากาศได้รับการจัดสรรอย่างโปร่งใส ชัดเจน และรายการดีจริง ไม่ใช่สมัครเล่นแบบทำเล่นๆ  ซึ่งสิ่งเหล่านี้วัดได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การทำหน้าที่ distributor สารคดีของคนอื่นๆ ควรทำและต้องวัดได้ ทั้งด้วย *จำนวนรายการและการกระจายของรายการ  *จำนวนผู้ชม และ *ผู้ร่วมซื้อรายการไปเผยแพร่ งานจัดหาและdistribute เป็นการช่วยสังคมเพราะ ๑. ผู้ชมควรมีโอกาสได้รับชมรายการดีที่ผู้ชมประเทศอื่นๆ ได้ชม หรือสาธารณชนที่อื่นได้เห็น (เช่น ภาพยนตร์สารคดีดีๆ ที่ฉายในพิพิธภัณฑ์ หรือองค์กรที่ให้การศึกษานอกระบบจัดทำขึ้น  เป็นต้น)  เพราะอะไรๆ ก็ไร้พรมแดน เรื่องนี้ก็ควรเช่นเดียวกัน ๒. เมื่อผู้ชมได้ “ชิม” รายการดี ให้ความรู้ที่นำเสนออย่างง่ายและกระชับแล้ว รายการที่ไม่ค่อยดีนักก็จะเอามาหลอกผู้ชมไม่ได้อีกต่อไป ๓. รายการที่เป็นสากลไม่จำเป็นต้องผลิตเอง แต่ควรทำอีกสองประการเพื่อให้ผู้ชมได้ประโยชน์มากขึึ้นคือ ก. ผลิตตอนเสริม เพื่อให้ผู้ชมได้เข้าใจสังคมไทยในบริบทโลกด้วย ข. รายการที่ออกอากาศครั้งแรกหรือ รีรัน ควรมีรายการที่พูดภาษาอังกฤษในฟิล์ม และมี subtitle ภาษาอังกฤษด้วย (เผื่อตอนไหนตามไม่ทัน เข้าใจไม่ชัดก็จะได้อ่านประกอบได้)  จะเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ชมได้ฝึกภาษาอังกฤษไปด้วยในตัว  ๔. เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ  เพราะสถานีโทรทัศน์ไม่ได้มีเฉพาะที่ออกอากาศ ยังมีสถานีเฉพาะกิจในโรงพยาบาล ฯลฯ  ซึ่งอาจจะซื้อรายการเหล่านี้ไปฉาย แม้แต่ช่องที่มีอยู่ บางครั้งก็อาจจะสนใจโดยที่ไม่ต้องไปแย่งซื้อ เท่ากับเป็นการร่วมกันซื้อหรือวางแผนร่วมกันเพื่อเพ่ิมอำนาจต่อรองในการซื้อรายการ    รายการที่หลากหลาย  รายการที่สมควรนำเผยแพร่มีมากมาย บางข้อเคยพูดตั้งแต่ช่วงระดมสมองออกโทรทัศน์ในระยะแรกตั้งไทยพีบีเอส (โดยก่อนไปพูดในโทรทัศน์ ได้รับฝากความคิดไปจากคณาจารย์ในจุฬาฯ ด้วย) คือ •รายการอภิปราย สัมมนาวิชาการ ปาฐกถา นิทรรศการด้านวิทยาศาสตร์ ธุรกิจ ศิลปะ เทคโนโลยี  รายการคอนเสิร์ต รายการการแสดงบนเวที ทั้งน้อยใหญ่ ทั้งกลางแจ้งและในร่ม ฯลฯ ที่มีจัดเป็นรายวันทั่วกรุงเทพฯ  ซึ่งถ้าทางสถานีทำการบ้าน และตัดต่อรายการให้ดี ก็จะเป็นสารคดีที่ใช้การได้ รายการเช่นนี้เปิดโอกาสให้ผู้สนใจแต่ไม่มีเวลาหรือโอกาสจะชมของจริงได้ดูทางโทรทัศน์ เป็นการสร้างสังคมแห่งความรู้ที่ทันๆ กันขึ้นมา  และไทยพีบีเอส เคยทำบ้างในระยะแรก แต่ยังไม่ได้ตัดต่ออย่างดี •เทศกาลต่างๆ วันสำคัญต่างๆ  ก็เป็นโอกาสในการนำเสนอสารคดีให้เนื้อหาไปกับวันนั้นๆ  (แต่ไม่ใช่เปิดเวทีนั่งพูดว่าวันนั้นสำคัญอย่างไร ที่ชวนให้หาวแล้วเปลี่ยนช่อง) มีวันต่างๆ ที่ได้ชื่อว่า “แห่งชาติ” หรือ “ของโลก” หลายวันในหนึ่งเดือน ช่วงครึ่งแรกของปี 2560 …

ไทยพีบีเอส ผิดที่โครงสร้างหรือเปล่า

  ติดปีกความคิด ติดอาวุธความรู้ น่าจะเป็นคำขวัญเต็มๆ ของไทยพีบีเอส สถานีนี้เป็นความหวังของผู้ที่อยากเห็นทีวีสาธารณะที่ให้ความรู้กับประชาชนผู้ชมโดยไม่ต้องห่วงการหาโฆษณา ทำตามที่ “ตลาด” สั่งอาจจะไม่เหมาะกับ need ของสังคม ตอนเริ่มต้นทีวีช่องนี้เป็นช่องขวัญใจของเด็กและผู้สูงอายุ (บางคน) ด้วยภาพยนต์สารคดีเรื่องสัตว์ต่างๆ  ดนตรีกวีศิลป์ที่ไพเราะและเปี่ยมด้วยเนื้อหา ทีวีซีรีส์ที่ได้สาระและบันเทิง แต่เกือบ ๑๐ ปีผ่านไป สถานีนี้กลายเป็นความสิ้นหวังสำหรับบางคน เพราะอะไร พินิจแล้ว คิดว่าปัญหาหลักอยู่ที่โครงสร้างการบริหารจัดการในไทยพีบีเอส (Governance structure at TPBS) พระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 ตั้ง ส.ส.ท. หรือที่รู้จักกันในชื่อไทยพีบีเอส (Thai Public Broadcasting Service) ให้มีคณะกรรมการนโยบาย (ซึ่งเปรียบได้กับคณะกรรมการของบริษัทหรือรัฐวิสาหกิจ) ซึ่งเป็นผู้ตั้งคณะกรรมการบริหาร. ผู้อำนวยการ และสภาผู้ชมฯ เป้าหมายของสถานี ๑. สนับสนุนการพัฒนาสังคมที่มีคุณภาพและคุณธรรมบนพื้นฐานของความเป็นไทย ผ่านทางบริการข่าวสารที่เที่ยงตรง รอบด้าน สมดุล และซื่อตรงต่อจรรยาบรรณ ๒.ผลิตข่าวสาร สารประโยชน์ด้านการศึกษาและสาระบันเทิง เน้นความหลากหลายในมิติต่างๆ ปราศจากอคติทางการเมืองและผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ และยึดถือผลประโยชน์สาธารณะ ๓. ให้ความรู้ประชาชนให้ก้าวหน้าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก เพื่อประโยชน์ในระดับชาติและท้องถิ่น ผ่านการให้บริการข่าวสารและสารประโยชน์อื่น ๔. ส่งเสริมเสรีภาพในการรับรู้ข่าวสาร เพื่อสร้างสังคมประชาธิปไตยที่ประชาชนได้รับข่าวสารอย่างเท่าเทียมกัน ๕. สนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดทิศทางการให้บริการขององค์กรเพื่อประโยชน์สาธารณะ เรามาดูกันว่า โครงสร้างที่มีและบุคคลที่รับผิดชอบ ทำงานอย่างไร คณะกรรมการนโยบาย มี ๙ คน (รวมประธาน) (ม. ๑๗)       ประกอบด้วย บุคคลด้านสื่อสารมวลชน ๒ คน ด้านการบริหารองค์กร ๓ คน และด้านส่งเสริมประชาธิปไตย พัฒนาชุมชน การเรียนรู้ คุ้มครองพัฒนาเด็ก เยาวชน ครอบครัว สิทธิของผู้ด้อยโอกาส ๔  คน (ขอรวมเรียกกลุ่มหลังสุดนี้ว่ากลุ่ม NGO) ทุกคนต้องเป็นผู้มีความรู้ มีประสบการณ์ มีผลงาน และเคยปฏิบัติงานที่แสดงให้เห็นการเป็นผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ วิเคราะห์ข้อมูลของผู้เป็นกรรมการนโยบายชุดปัจจุบัน สรุปว่า +เป็นหญิง ๒ คน ชาย ๗ คน +สูงอายุ  คือ มีอายุต่ำกว่า 60 ปีเพียง  ๒ คนเท่านั้น  (อายุ 55 กับ 59) อีก ๗ คน อายุ 60 ปี ขึ้นไป โดย ๒ คนอายุ ๗๑ ปี +คนหนึ่งเป็นผู้อำนวยการสถานีวิทยุในหน่วยงานในกำกับของรัฐ   (ไม่นับว่ามีผลประโยชน์แย้งกับ ไทยพีบีเอส?) เข้ามาในฐานะนักบริหารองค์กร +สื่อ ๔ คน (นับรวมประธานที่เป็น ผอ. สถานีวิทยุ และนักบริหารอีก ๑ คน ที่มาจากกรมประชาสัมพันธ์) +นักบริหาร ล้วนเป็นอดีตข้าราชการ +เป็นนักกฏหมายหรือมีพื้นฐานกฎหมายระดับปริญญาตรี  ๔ คน จากกรรมการ ๙ คน หรือเกือบครึ่งหนึ่ง โครงสร้างนี้แสดงว่า กรรมการด้านสื่อและนักกฎหมายมีตัวแทนมากเกิน ผู้หญิงน้อยไป คนสูงอายุมากไป คนวัยทำงานขาดตัวแทน พื้นความรู้ไม่หลากหลาย   ส่วนขาดที่สำคัญที่สุดคือนักบัญชี (หรือผู้รู้เรื่องการเงินการบัญชี) และนักบริหารที่แท้จริง (คือเคยเป็นผู้บริหารองค์กรขนาดใหญ่ที่เท่ากับหรือใหญ่กว่า ไทยพีบีเอส และเคยดูแลเงินจำนวนกว่าสองพันล้านมาแล้ว) สำหรับผู้เขียนคิดว่า ข้อคุณสมบัติกรรมการที่ระบุในการสรรหา ควรจะให้กรรมการทุกคนหรือส่วนมาก เป็นผู้ ทำเป็น/บริหารเป็นด้วยและต้องรู้จักหารายได้เพิ่มจากกิจการที่มี เพราะกรรมการทั้งคณะต้องรับผิดชอบการบริหารองค์กรที่รัฐบาลส่งเงินให้ปีละ ๒ พันล้านบาทให้อยู่รอดอย่างรุ่งเรืองและทำงานได้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ใน พรบ.  เพราะเหตุผลว่ากรรมการนโยบาย (Board of …

CU100 บันทึกไว้เตือนความจำ

ขอขอบคุณท่านที่ถอดเนื้อความนี้ และเพื่อนที่ส่งมาให้ทางไลน์ ขอนำมารวมไว้เป็นบันทึกเตือนความจำของเหตุการณ์วันที่ ๒๕ และ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๐ พระสัมโมทนียกถาสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานในพิธีบำเพ็ญกุศลวาระ ๑๐๐ ปีแห่งการประดิษฐานจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ ศาลาพระเกี้ยว จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยวันเสาร์ ที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๐ ขออำนวยพร คุณหญิงนายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ท่านอธิการบดี, คณะผู้บริหาร, คณาจารย์, บุคลากร, นิสิตเก่าและนิสิตปัจจุบัน ทุกท่าน. อาตมภาพรู้สึกชื่นชมยินดี ที่ได้มาอยู่ท่ามกลางสาธุชนชาวจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทุกท่าน  ในวาระที่มหาวิทยาลัยจะเจริญอายุครบ ๑๐๐ ปี  การที่ท่านพร้อมเพรียงกันมาบำเพ็ญกุศลฉลองมหาวิทยาลัย และตั้งจิตอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  สองพระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐของประชาชาติไทย และโดยเฉพาะของชาวจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในวันนี้ นับได้ว่าเป็นประเดิมแห่งการสมโภชมหาวิทยาลัยอันจะมีต่อไปในวันพรุ่งนี้ กล่าวได้ว่าทุกท่านเป็นคนดี เพราะธรรมพื้นฐานอันเป็นภูมิของสัตบุรุษคนดี คือความกตัญญูกตเวที ท่านทั้งหลายทราบดีแก่ใจแล้วว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาโรงเรียนมหาดเล็กขึ้นด้วยพระราชประสงค์ใด อาตมภาพขอย้ำเตือนในมงคลวาระนี้อีกครั้งหนึ่งว่า เพราะทรงพระราชปรารถนาความเจริญวัฒนาแก่ประเทศชาติ ด้วยหลังจากทรงปฏิรูประบบราชการในแผ่นดินสยาม จนอาจเรียกได้ว่าพลิกแผ่นดินให้สยามเป็น “อารยประเทศ” แล้ว ก็ต้องทรงสร้าง “อารยชน” ให้บังเกิดขึ้นเป็นกลจักรสำคัญแห่งระบบราชการของพระองค์ โรงเรียนมหาดเล็กที่ทรงสถาปนาขึ้นนั้น คือสถานบ่มเพาะข้าราชการรุ่นแรกๆ ของสยามตามพระบรมราโชบาย ความเป็นอารยะนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากบุคคลปราศจาก “ปัญญา” โรงเรียนชั้นสูงแห่งนั้นได้สรรค์สร้างปัญญาชน เป็นกำลังแห่งบ้านเมืองมาได้พอสมควรแก่กาลสมัย วันเวลาล่วงไปไม่นาน สมเด็จพระปิยมหาราชเสด็จสวรรคตล่วงลับไป แต่ก็ยังนับเป็นมหาโชคของชาวไทย ที่ได้มีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นอัจฉริยบุรุษ เป็นปราชญ์ของโลก เสด็จผ่านพิภพสืบราชสันตติวงศ์ต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเร่งขยายกิจการโรงเรียนมหาดเล็กขึ้นเป็นสถาบันอุดมศึกษาของชนชาวสยาม ในนามว่า “โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” ท่านทั้งหลายสังเกตถ้อยคำบ้างหรือไม่ ว่านามของสถาบันนั้นไม่ได้ทรงใช้เป็นพระปรมาภิไธยส่วนพระองค์ หากแต่ทรงตั้งพระราชหฤทัยถวายไว้เป็นพระบรมราชานุสาวรีย์ของสมเด็จพระบรมชนกนาถ แม้การสถาปนาโรงเรียนชั้นอุดมศึกษาเช่นนี้จะเป็นเกียรติยศพิเศษแห่งแผ่นดินใหม่ เป็นปฐมราชกรณียกิจยิ่งใหญ่ที่บังเกิดขึ้น ในระยะเวลาที่เสวยราชย์ได้เพียง ๒ เดือนเท่านั้น แต่ด้วยพระราชหฤทัยกตัญญูกตเวที กลับมิได้ทรงพระราชปรารถนากิตติศัพท์ส่วนพระองค์ หากทรงยกถวายไว้ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระปิยมหาราช ทั้งยังพระราชทานพระราชทรัพย์ เป็นทุนประเดิมมหาศาลที่เหลือจากการสร้างพระบรมรูปทรงม้า พระราชทานที่ดินอันกว้างใหญ่ไพศาลนับพันไร่ พระราชทานพระบรมราโชบายและบุคลากรเพื่อการบริหารจัดการ พระราชทานสรรพสิ่งซึ่งจะลงหลักปักฐาน เป็นมหาวิทยาลัยต่อไปในอนาคตกาล ตราบกระทั่งวันที่ ๒๖ มีนาคม เมื่อ ๑ ศตวรรษก่อน มหาวิทยาลัยแห่งแรกของกรุงสยามจึงได้รับพระราชทานพระมหากรุณาให้เริ่มต้นหยัดยืน ทรงใช้คำในพระบรมราชโองการประกาศว่า ทรง “ประดิษฐานจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” คำว่าประดิษฐานนั้นแปลว่าตั้งให้ยืนหยัดขึ้นพร้อมที่จะออกเดินหน้าต่อไป ขอให้พึงสังเกตอีกครั้งว่าแม้วาระที่จะออกพระปรมาภิไธยในรัชกาลที่ ๖ เพื่อเป็นพระเกียรติยศจำเพาะพระองค์ได้ชั่วกัลปาวสานก็กลับไม่ทรงกระทำ ยังคงทรงออกพระปรมาภิไธยสมเด็จพระบรมชนกนาถอีกตามเคย ผู้คนทั้งหลายทุกวันนี้ เมื่อเอ่ยถึงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็คงระลึกถึงสมเด็จพระปิยมหาราชเป็นต้น เฉพาะผู้ทราบประวัติถ่องแท้จริงๆ จึงจะระลึกถึงสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้าเป็นลำดับต่อมา หลายท่านคงเริ่มสงสัยว่า อาตมภาพย้ำเตือนเช่นนี้ซ้ำๆ ต่อท่านทั้งหลายด้วยเหตุใด ขอเฉลยว่า เพราะมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานแห่ง “ความกตัญญูกตเวที” คำว่ากตัญญูคือรู้คุณท่าน คำว่ากตเวทีคือสนองคุณท่าน สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้าทรงสนองพระราชดำริของสมเด็จพระบรมราชบุพการีที่ทรงพระราชปรารภจะให้มีมหาวิทยาลัย แม้การไม่ทันสมพระราชประสงค์ก็สิ้นรัชกาลที่ ๕ เสียก่อน แต่สมเด็จพระบรมราชโอรสก็ไม่ทรงละเลยที่จะสืบสานพระบรมราชปณิธานเพื่อประชาชนชาวสยาม จึงทรงเจริญรอยตามพระยุคลบาท ทรงพากเพียรฟันฝ่าปัญหาและอุปสรรคนัปการ อันกีดขวางการมีมหาวิทยาลัยให้พ้นผ่านไปได้ จนก่อร่างสร้างเป็นสถาบันอันมีเกียรติยศใหญ่เช่นนี้ในบัดนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังไม่ทรงพระราชประสงค์ให้ใครมายกย่องสรรเสริญพระองค์ แต่ทรงพร้อมจะประกาศให้เป็นปิยมหาราชานุสรณ์สืบไป นาม “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” จึงมีความหมายลึกซึ้งและสูงส่งยิ่งนัก ทั้งในด้านที่มาและด้านอุดมการณ์ หากว่าท่านทั้งหลาย ปรารถนาจะได้รับมงคลพรให้บังเกิดแก่ตนและบังเกิดแก่มหาวิทยาลัยของท่าน ขอท่านจงพินิจพระราชจริยาสัมมาปฏิบัติของสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า ผู้ทรงประดิษฐานจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไว้ดีแล้วเมื่อร้อยปีก่อน พระองค์ทรงพระกตัญญูกตเวทีต่อสมเด็จพระบรมชนกนาถอย่างไร ขอท่านทั้งหลาย จงมีความกตัญญูกตเวทีต่อสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้าอย่างนั้น พระองค์ทรงประกอบพระราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่ไว้ด้วยลักษณะปิดทองหลังพระ ไม่มีพระราชประสงค์เพื่อออกพระนามของพระองค์เอง แต่กลับมีพระราชประสงค์เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติไทย เพื่อกุลบุตรกุลธิดาถึงพร้อมด้วยปัญญา เพื่อเชิดชูพระปรมาภิไธยของสมเด็จพระปิยมหาราชอย่างไร ขอท่านทั้งหลายจงมีอุดมการณ์เต็มเปี่ยมในการประกอบกิจการงานและการศึกษาเล่าเรียนในมหาวิทยาลัยนี้ อย่างนั้นเถิด สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานพระพุทธานุศาสนีสั่งสอนเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ผู้ปรารถนาจะทราบว่ามงคลที่แท้เกิดขึ้นได้อย่างไรไว้ถึง ๓๘ ประการ แต่ในโอกาสนี้ มี ๒ ประการ ที่อาตมภาพขอเชิญมากล่าวต่อทุกท่าน ไว้ให้ปรากฏแจ้งชัดแก่ใจ กล่าวคือ การบูชาบุคคลที่ควรบูชา เป็นมงคลอันอุดม สถาน ๑ และความกตัญญู เป็นมงคลอันอุดม อีกสถาน ๑ ขอท่านทั้งหลายจงบูชาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ด้วยความสมัครสมานสามัคคี และด้วยความขยันหมั่นเพียรต่อการงานและการศึกษาเล่าเรียน ขอท่านทั้งหลายจงกตัญญูรู้คุณของทั้งสองพระองค์ ตลอดจนบุพการีและบูรพาจารย์  ผู้มีพระคุณต่อมหาวิทยาลัย ด้วยการสืบสานพระบรมราชปณิธานและปณิธานทั้งนั้น เพื่อสร้างปัญญาชน …

เหตุเกิดที่ไทยพีบีเอส

ไทยพีบีเอสนำเงินไปลงทุนซื้อหุ้นบริษัทซีพีเอฟเป็นการผิดจรรยาบรรณสื่อ!   เรื่องลามเลยไปถึงการประชุมอันยาวนานของคณะกรรมการนโยบายฯ จบลงด้วยการลาออกของผู้อำนวยการ เรื่องใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอ  วิญญาณของผู้บริหารเงินทุนถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาสำรวจปัญหา  เพื่อตอบคำถามที่ว่า… เอาเงินภาษีของประชาชนไปทำงี้ได้ไง  ทำผิดกฎหมายหรือเปล่า (คำถามมาตรฐาน) ผู้บริหารต้องรับผิดชอบ  บริษัทนี้มีปัญหากับ “สังคม” คุณไม่รู้หรอกหรือ วิญญาณสื่อของคุณหายไปไหน ไปสนับสนุนบริษัทแบบนี้  ต่อไปนี้สถานีจะขาดความเป็นอิสระ ฯลฯ ก่อนอื่น ขอเรียนว่าข้อมูลข่าวสารได้มาจากการติดตามข่าวผ่านสื่อ ทั้งข่าวเล่า (คือมีผู้ติดตามอ่านแล้วมาสรุปให้ฟัง) และข่าวเขียน (แปลว่าอ่านเอง) บวกกับการสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องกระบวนการทำงาน ข้อสังเกตและความเห็นมีดังนี้   ข้อ ๑ ตามหลักการบริหารเงิน การหารายได้อย่างเหมาะสมแทนการทิ้งเงินไว้เปล่าๆ เป็นความรับผิดชอบอย่างหนึ่งของผู้บริหาร ดร. สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ ประธานทีดีอาร์ไอ ได้เขียนอธิบายหลักการพร้อมวิธีปฏิบัติขององค์กรสาธารณะไว้แล้วใน facebook คณะกรรมการนโยบายฯ ตำหนิการทิ้งเงินไว้เป็นเงินฝากธนาคารมาอย่างต่อเนื่อง แทนที่จะนำเงินไปหาผลประโยชน์อื่นเพื่อให้มีรายได้งอกเงยขึ้นมา  จนกระทั่งฝ่ายบริหารอยู่นิ่งไม่ได้ต้องลงมือทำอะไรสักอย่างในเรื่องการลงทุน เพราะถ้าไม่ทำก็แปลว่าไม่รับผิดชอบ (ถ้าลงทุนผลีผลามก็ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน แต่คนละประเด็น) ขั้นตอนการลงทุนของผู้บริหารเงินทุนโดยทั่วไปคือ นำเสนอกรอบการลงทุนให้คณะกรรมการพิจารณา  กรอบคือหลักเกณฑ์ว่าจะลงทุนในตราสารประเภทใดบ้าง ในสัดส่วนเท่าใด ระดับความเสี่ยงที่กรรมการหรือองค์กรรับได้คือแค่ไหน และสาระอื่นๆ ที่ประกอบกันขึ้นเพื่อประกอบการพิจารณาตัดสินใจลงทุน ในระบบการทำงานจะต้องชัดเจนว่า ใครตัดสินใจ ใครอนุมัติฯลฯ โดยที่การลงทุนจริงไม่มีการขออนุมัติกรรมการเป็นครั้งๆ  เพราะว่าตลาดเงินไม่เคยหยุดรอใคร    ที่ได้รับฟังมาเรื่องเหล่านี้ไม่มีอะไรน่ากังขา  ประเด็นอยู่ที่รังเกียจชื่อของบริษัทที่เป็นผู้ออกหุ้นกู้  โดยอ้างว่า “สังคม” ไม่สบใจท่าทีต่อความรับผิดชอบต่อสังคมของบริษัทในกลุ่มนี้ ข้อ ๒ ควรซื้อหุ้นกู้ของบริษัทใดบ้าง  (บริษัทที่มีความเสี่ยงพอๆ กัน อัตราดอกเบี้ยจะใกล้ๆ กัน ถ้าอายุหุ้นกู้ใกล้เคียงกัน) ตรงนี้ต้องขึ้นอยู่กับว่า มีหุ้นกู้นั้นๆ ขายอยู่ในท้องตลาดหรือไม่ (ไม่มีของให้ซื้อ อยากอย่างไรก็ซื้อไม่ได้) เมื่อหุ้นกู้ซีพีเอฟโผล่เข้ามาในจอเรดาร์ของผู้ตัดสินใจลงทุนว่า ถูกต้องตามเกณฑ์และมีขาย ณ เวลานั้น ก็ลงทุนไป มีเสียงสะท้อนว่า น่าจะรู้ว่าบริษัทนี้ต้องห้าม  ผู้จัดการกองทุนไม่รู้ การลงทุนเงินของคนอื่นไม่ใช้อารมณ์มากะเก็ง  การชอบหรือไม่ชอบเป็นการส่วนตัวโดยที่ไม่มีหลักมีเกณฑ์น่าจะเข้าข่ายอคติ ใช้อำนาจไม่เป็นธรรม ผิดหลักการบริหารจัดการที่ดี ฯลฯ   และที่ไม่เฉลียวใจอย่างยิ่งก็เพราะใครๆ ก็เข้าเซเว่น อีเล็ฟเว่น ของเครือซีพีด้วยกันทั้งนั้น หลายคนใช้โทรศัพท์หรือดูโทรทัศน์ค่ายทรู  กินไก่ทอดซีพี เข้าร้านโกลเด้นเพลส และร้านอื่นๆ อีกที่ขายไก่ หมู ไข่ ฯลฯ ที่มาจากซีพีเอฟ เท่ากับว่าเป็นลูกค้าส่งกำไรให้บริษัทซีพีเอฟและเครือซีพีอย่างสม่ำเสมอ  ถ้าจะไม่ชอบกันทั้งทีควรไม่ชอบให้ถ้วนด้านไม่มีการลักลั่น ตอบแบบชวนทะเลาะไปแล้ว มาดูคำตอบที่เป็นการปฏิบัติสากลบ้าง   กิจการบริหารเงินลงทุนใดต้องการจะไม่ลงทุนในบริษัทใด ต้องระบุชัดเจน ปล่อยให้ผู้จัดการลงทุนและเจ้าหน้าที่ลงทุนไปคิดเอาเองไม่ได้  list แบบหนึ่งเป็นรายชื่อกิจการที่ให้ลงทุนได้ เช่น เลือกหุ้นและหุ้นกู้เฉพาะบริษัทที่อยู่ใน SET50  เลือกหุ้นและหุ้นกู้เฉพาะบริษัทที่ได้ชื่อว่ามีธรรมาภิบาลดี บริษัทซีพีเอฟเป็นบริษัทที่ได้รับคะแนนธรรมาภิบาลระดับ ๕ คือลำดับดีที่สุด ดังนั้น list แบบที่ว่ามานี้ไม่พอจะกันซีพีเอฟออกไป หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องไปตั้งคำถามเอากับคนตั้งเกณฑ์ธรรมาภิบาลอีกทอดหนึ่ง ถ้าจะไม่ให้ลงทุนในซีพีเอฟ ก็ต้องหาเกณฑ์อื่นมาจัดทำรายชื่อกิจการต้องห้าม (restricted list) เช่นระบุชัดเจนว่า ไม่ลงทุนในกิจการผลิตและขายเหล้า บุหรี่ กิจการที่ทำลายสิ่งแวดล้อม ฯลฯ   [จำได้ว่าสมัยเป็นเลขาธิการ กบข. เคยเสนอรายการเช่นนี้ต่อคณะกรรมการ  มีคำถามจากคณะกรรมการว่าคุณจะตัดสินได้ยังไงว่าบริษัทไหนอยู่หรือไม่อยู่ในข่ายในรายการห้ามลงทุนของคุณ  และจะเหลือบริษัทให้ลงทุนหรือ  เมื่อสรุปกันไม่ได้ก็เลยไม่มีลิสต์นี้ แต่โดยส่วนตัวก็ยังมีอยู่บ้างซึ่งแจ้งให้ผู้จัดการกองทุนรับทราบและทำตาม โดยมีบทยกเว้นว่า หากว่าจะมีกิจการใดที่ผู้จัดการกองทุนเห็นว่าควรลงทุน แต่เลขาธิการไม่เห็นด้วย ก็มีสิทธินำเรื่องเสนอคณะกรรมการลงทุนได้เลย ไม่มีการว่ากันด้วยคำพูดทำนองว่า “ไม่เชื่อฟัง”  “ข้ามหน้าข้ามตา”  ฯลฯ ] นี่คือธรรมาภิบาลแบบหนึ่งในองค์กร ถ้านำเกณฑ์ต่างๆ มาใช้ในกรณีซีพีเอฟ ก็อาจจะไม่หลุดโผอีกนั่นแหละ เว้นแต่จะระบุไปเลยว่าไม่ลงทุนในกิจการฆ่าสัตว์ แต่ระบุแบบนี้กิจการอื่นในเครือซีพีก็ยังไม่เข้าโผห้ามลงทุน แต่ครั้นจะบอกไปตรงๆ ว่าไม่ลงทุนในหลักทรัพย์กลุ่มซีพี  ถ้าไม่ระบุว่าซีพีไม่ดียังไง ก็ไม่เรียกว่าเกณฑ์ และมีคำถามว่ากิจการอื่นที่มีพฤติกรรมประมาณเดียวกับซีพีแต่ไม่ถูกยกขึ้นมากีดกันมีหรือไม่   ข้อ ๓ ถามอีกมุมหนึ่งว่า ถ้าตั้ง list ห้ามลงทุนจนเลอเลิศ  จะมีอะไรเหลือให้ลงทุนหรือไม่ ได้รายชื่อหุ้นกู้ในท้องตลาดเวลานี้มาจากผู้วิเคราะห์ตลาดทุน สรุปว่าหุ้นกู้ในระดับความเสี่ยงและในกรอบของอายุหุ้นกู้ประมาณเดียวกับซีพีเอฟที่อาจจะหาได้คือ ทียู (ซึ่งก็มีข่าวถูกประท้วงกรณีปลาทูน่า)  เบอร์ลี่ยุคเกอร์ (บริษัทในกลุ่มของคุณเจริญฯ  ที่เป็นเจ้าของกิจการขายเหล้าขายเบียร์) สองกิจการนี้จะถือว่าไม่พึงลงทุนหรือไม่ ถ้าไม่ให้ลงทุนก็คงเหลือแค่ …

เยลเมื่อครบ ๓๐๐ ปี อธิการบดีพูดสิ่งนี้ จุฬาฯ เมื่อครบ ๑๐๐ ปี อธิการบดีจะพูดอะไร

อีกไม่นานเกินรอ แค่วันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๐ จุฬาฯ จะฉลองยิ่งใหญ่ปิดศตวรรษแรกหลังจากที่มีการฉลองรูปแบบต่างๆ มาตั้งแต่ตอนเริ่มย่างเข้าปีที่ ๑๐๐ มาจนจะครบ ๑๐๐ แล้วเริ่มย่างก้าวสู่ศตวรรษที่สองของมหาวิทยาลัย เป็นปีที่ ๑๐๐ กับอีก ๑ วัน ย่างก้าวสู่อนาคตสำคัญมาก สำคัญตรงที่ว่าเราจะเหหัวเรือของสถาบันไปทางไหน ในโลกที่กำลังเปลี่นแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีความมั่นคงอยู่ลึกๆ ว่า ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปอย่างไร มีบางอย่างที่เป็นแก่นเป็นแกนเป็นเนื้อแท้ เฉกเช่นน้ำที่เปลี่ยนได้หลายรูปแบบ แต่คงคุณลักษณะแห่งน้ำไว้เสมอทุกรูปแบบของน้ำนั้น ไม่ว่าจะเย็น ร้อน หรือเจือด้วยสี กลิ่น หรือรสอื่นใด เคยติดใจสุนทรพจน์ที่อธิการบดี Richard Levin กล่าวปิดศตวรรษที่ ๓ ขึ้นศตวรรษที่ ๔ ของมหาวิทยาลัยเยล ที่หน้าอาคารห้องสมุดของมหาวิทยาลัย เมื่อปี ค.ศ. 2001 จึงขอนำมาเล่าไว้ ณ ที่นี้ (ยังไม่นับผู้บริหารเงินทุนของเยล ที่ดิฉันชื่นชมมาก เพราะผลงานที่เยี่ยมยอดและหลักการการบริหารเงินที่อธิบายได้และผู้บริหารมั่นคงกับหลักการมาก) ก่อนถึงสุนทรพจน์ ขอให้ข้อมูลสรุปสั้นๆ เพื่อให้รู้จักมหาวิทยาลัย เยลเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยชั้นนำและมหาวิทยาลัยเก่าแก่ของสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ที่เมือง New Haven มลรัฐ Connecticut  ข้อมูลจากเว็บไซต์ college data ระบุว่า มีนักศึกษาระดับปริญญาตรีรวม 5,532 คน เป็นชายกับหญิงในสัดส่วนใกล้เคียงกัน  ระดับบัณฑิตศึกษา 6,853 คน เป็นมหาวิทยาลัยที่เข้ายากที่สุดแห่งหนึ่งในระดับปริญญาตรี คือในจำนวนผู้สมัคร 30,236 คน ได้เข้าเพียง 7% เท่านั้น นักศึกษาต่างชาติจาก 89 ประเทศ คิดเป็น 10.6% ของนักศึกษาทั้งหมด อาจารย์ทำงานเต็มเวลามี 1, 159 คน ขนาดของชั้นเรียนเกือบครึ่งหนึ่ง (44%) มีนักศึกษา 10 – 19 คน อีก 29% เป็นชั้นเรียนมีนักศึกษา 2- 9 คน ชั้นเรียนขนาดใหญ่เกินร้อยคนมี 3% ของจำนวนชั้นเรียนทั้งหมด  ชื่อของเยลโดดเด่นมากเมื่อเอ่ยถึงวิชาด้านศิลปะ (และสังคมศาสตร์) ส่วนอธิการบดีคนนี้ของเยล ก็เป็นผู้ที่มีสุนทรพจน์และคำพูดน่าอ้างถึงจำนวนมาก และเริ่มแสดงจุดยืนตั้งแต่วันแรกที่ได้รับการแนะนำตัวเป็นอธิการบดีต่อสาธารณชนรวมสื่อมวลชน เมื่อ ค.ศ. 1993 สื่อมวลชนถามว่า “ท่านจะทำอะไรเป็นสิ่งแรก” คำตอบคือ “พอจบการให้สัมภาษณ์ ผมจะไปพบกับนายกเทศมนตรีของเมืองนิวเฮเว่น ท่านนั่งอยู่ ณ ที่นี้ดวย และเริ่มหารือกันว่าจะร่วมมือกันทำอะไรได้บ้างที่จะทำให้เมืองนิวเฮเว่นแข็งแกร่งขึ้น” และงานด้านการพัฒนาชุมชนและเมืองรอบมหาวิทยาลัยโดยอาสาสมัคร และการร่วมมือกับภาคธุรกิจ  ภาครัฐผ่านข้ารัฐการของมลรัฐและของเมือง  พระ และภาคประชาชนผ่านผู้นำชุมชน ทำให้ชุมชนมีความเป็นอยู่ดีขึ้น ความเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยมีสูงขึ้น ย่านกลางเมืองดีขึ้น เกิดธุรกิจด้านไบโอเทคที่กำลังเติบโต  เป็นหุ้นส่วนกับโรงเรียนของรัฐในการปรับระดับการเรียนการสอน สัมพันธภาพระหว่างรัฐบาลท้องถิ่นกับมหาวิทยาลัยที่ได้ทำลงไป บัดนี้เป็นต้นแบบระดับชาติ สุนทรพจน์อธิการบดีในงานครบ ๓๐๐ ปีก้าวสู่ศตวรรษที่สี่  พูดถึงอดีต เชื่อมโยงมาปัจจุบัน และมองต่อไปถึงสิ่งที่กำลังทำเพื่ออนาคตของมหาวิทยาลัยและของสังคม http://archives.yalealumnimagazine.com/issues/01_12/levin.html อันดับแรก ทบทวนตัวเลขในช่วง ๑๐๐ ปี จากวันครบ ๒๐๐ ปี มาถึงครบ ๓๐๐ ปีในวันนี้ว่า  นักศึกษาเพิ่มขึ้น  ๔ เท่า อาจารย์เพิ่ม ๘ เท่า หนังสือในห้องสมุดเพิ่ม ๓๐ เท่า และทุนสำหรับหาประโยชน์เพื่อการศึกษา (ปรับสำหรับเงินเฟ้อแล้ว) เพิ่มขึ้น ๑๒๐ เท่า จำนวนวิชาที่เปิดให้เรียนเพิ่มขึ้นจากไม่ถึง ๑๐๐ วิชา เป็นกว่า ๒,๐๐๐ หัวข้อวิชา  สอนภาษาต่างประเทศ ๕๒ ภาษา และวิชาที่เกี่ยวกับต่างประเทศ มีมากกว่า ๖๐๐ วิชา …