Paper Money and Crypto Coin: แบงก์กงเต๊กกับเหรียญกาโม่
สหรัฐฯ กำลังพิมพ์เงินอย่างไม่ยั้งมือ และรัฐบาลสหรัฐเป็นหนี้ท่วมตัว นี่ถ้าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ได้ใหญ่โต และอิทธิพลด้านการเงินยังมีอยู่มหาศาล ถ้าเป็นประเทศเล็กๆ สักประเทศหนึ่ง ป่านนี้เงินดอลล่าร์คงจะเป็นแบงก์กงเต็กไปแล้ว เหมือนที่เงินของเยอรมนีเคยเป็นก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๑ และอีกหลายๆ ประเทศในโลกในเวลาต่างๆ กัน ส่วนสกุลเงินคริปโต ก็มีคนเข้าไปเล่นกันมากมาย หลายคนนำมากล่าวถึงอย่างภาคภูมิใจว่าลูกๆ เล่นเก่งมาก ได้เงินเป็นแสนเป็นล้าน เพื่อไม่ให้ตกเทรนต์ ขอนำสองเรื่องที่มามองในมิติของประวัติศาสตร์เศรษฐกิจสักหน่อย (แบบพยายามเขียนให้อ่านง่าย) ประวัติศาสตร์จะส่องสะท้อนอนาคตหรือไม่ อยู่ที่ผู้วิเคราะห์มองออกหรือไม่ และมีปัจจัยอื่นใดจะมาเบี่ยงเบนภาพอนาคตไปได้บ้าง อนาคตเท่านั้นจึงยืนยันได้ว่า ปัจจุบันที่เป็นประวัติศาสตร์ในอนาคต จะเป็นเช่นไร แบงก์กงเต๊ก ลองจัดหมวดดู ได้เป็น ๓ กลุ่ม ๑. กระดาษที่พิมพ์ราคาขึ้นมา ไว้ส่งไปให้ใช้ในปรโลก พวกเราที่มีเชื้อสายจีน หรือรู้จักธรรมเนียมจีน รู้จักแบงก์กงเต๊กกันดี เวลาต้องการให้บุคคลที่ล่วงลับไปแล้วมีกินมีใช้อย่างมั่งคั่ง เราจะเผากระดาษเงินกระดาษทอง ธนบัตร รถยนต์ บ้านช่อง ไปให้ ธนบัตรที่ส่งไปให้นั่นแหละคือแบงก์กงเต๊ก เคยไปซื้อมาทำพิธี จึงเพิ่งรู้ว่าแบงค์ใบหนึ่งราคาตั้ง 500,000 บาท ก็มี เป็นล้านๆ ก็มี แบงก์แบบนี้ ใครๆ ก็พิมพ์ได้ ส่งเงินไปให้ได้ทีละเป็น 10 เป็น 100 ล้านเลย ไม่รู้ทำให้เกิดเงินเฟ้อในโลกโน้นหรือเปล่า ๒. ธนบัตรที่กลายเป็นเศษกระดาษ แรกเริ่มเดิมที เป็นธนบัตรที่ใช้ได้ตามกฏหมาย แต่รัฐบาลออกประกาศยกเลิกการใช้ เช่น ช่วงสงคราม ในหลายประเทศมีการพิมพ์ธนบัตรกันมากจนเงินเฟ้อ หลังสงครามมีการเก็บธนบัตรกลับและถ้าไม่นำไปส่งมอบในเวลาที่กำหนดธนบัตรนั้นก็จะกลายเป็นเศษกระดาษไร้ค่าไป ในยามสงบ ก็มีบางประเทศออกนโยบายยกเลิกการใช้ธนบัตรบางแบบ เช่น อินเดียเคยยกเลิกธนบัตรมูลค่าสูงเพื่อแก้ลำพวกที่รับสินบน หรือพม่าเคยยกเลิกธนบัตรชุดหนึ่งแล้วออกธนบัตรอีกชุดหนึ่งที่มีราคาบนหน้าธนบัตรแตกต่างไปจากเดิม เป็นต้น ธนบัตรที่ถูกยกเลิกจึงหมดสภาพธนบัตร กลายเป็นเศษกระดาษเปื้อนหมีกพิมพ์เท่านั้นเอง เห็นโยนทิ้งกันเกลื่อนกลาด แบงก์แบบนี้ รัฐบาลเท่านั้นมีสิทธิประกาศออกใช้ และประกาศยกเลิกการใช้ คนอื่นทำไม่ได้ ๓. แบงก์กงเต๊กสมัยปัจจุบัน ธนบัตรทั้งหมดที่ออกใช้ในปัจจุบันนี้ ถ้าเป็นของสหรัฐอเมริกา ก็เทียบได้กับแบงก์กงเต๊ก คือพิมพ์กระดาษออกมาแล้วบอกว่าเป็นเงินที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย คนที่ถือไว้ ถือกันโดยสมัครใจ ที่ยอมรับกันเรื่อยมาทั่วโลกตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐ ก็เพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯ แข็งแกร่งมาก มีดอลลาร์ไว้ จะไปซื้ออะไรที่ไหนก็ได้ เพราะใครๆ ประเทศไหนๆ ก็ต้องการ (แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เริ่มมีคนบอกว่าไม่รับ เพราะไม่รู้จะไปใช้ที่ไหน ก็จะใกล้เป็นแบงค์กงเต๊ก) รัฐบาลใดก็มีโมโนโปลีในการออกแบงก์สกุลของประเทศตน แต่เงินไม่ใช่มีแค่ธนบัตรเท่านั้น เงินยังเป็นตัวเลขในบัญชีอีกด้วย แต่สุดท้ายแล้วฐานที่มาของเงินในบัญชี อันเป็นตัวเลขที่ผู้คนโอนไปโอนมา ก็คือธนบัตรนั่นเอง พฤติกรรมของแบงก์กงเต๊ก บางคนคิดว่า แบงก์กงเต๊กเป็นของจริง ก็จะถือไว้ หรือเก็บไว้ แต่บางคนฉวยโอกาสที่แบงก์ออกมาเพ่นพ่านอยู่ในตลาด เอาไปไล่ซื้อหุ้น ไล่ซื้อทองคำ ฯลฯ ได้ตัวเลขกำไรมากมาย และเมื่อหมดสินค้าในตลาดเงิน ตลาดทุน ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ให้ไล่ซื้อแล้ว ก็หันไปไล่ซื้อที่ดิน ซื้ออาคาร (คือ ซื้ออสังหาริมทรัพย์) ที่ระหว่างที่ถือก็ได้ค่าเช่า นานๆ ไปที่ดินขึ้นราคาก็ได้กำไร พอไล่ซื้อ ราคาก็สูงขึ้น สิ่งที่เกิดตามมาก็คือ พวกที่ต้องใช้น้ำพักน้ำแรงตนเองเก็บออมไปซื้อบ้านซื้อคอนโดเพื่ออยู่อาศัย เก็บไม่ทัน หาเงินไม่ทัน เมื่อเทียบกับคนมีแบงก์กงเต๊กเป็นฟ่อนๆ เกิดปัญหาสังคมเมื่ออาคารมีมากมายแต่คนไม่มีที่อยู่ เพราะไม่มีเงินซื้อบ้านที่แพงลิบลิ่ว เมื่อใดที่แบงก์กงเต๊กเสื่อมค่า อสังหาริมทรัพย์อาจจะยังมีราคา มีมูลค่าอยู่จริง ตอนนั้นแหละจะเห็นความแตกต่างระหว่างคนถือเงิน (ที่เล็กลง) กับคนถือทรัพย์สินที่จับต้องได้ (ซึ่งราคาลอยขึ้นตามเงินเฟ้อ และกลับกับการเสื่อมค่าของเงิน) เหรียญกาโม่ คล้ายกับแบงก์กงเต๊ก เพราะเกิดจากการเสกหรือปั้นขึ้นมา แบงก์กงเต๊กเป็นกระดาษพิมพ์ และเป็นเงินฝากในธนาคาร ส่วนเหรียญกาโม่เป็นเงินดิจิทัล สร้างจากพลังงานไฟฟ้าและการให้รหัส คนบางกลุ่มบางพวกสร้างเหรียญขึ้นมาเป็นสกุลเงินของตนเอง ด้วยเงื่อนไขต่างๆ ให้น่าเชื่อถือแบบเงินตรา ด้วยวิธีการที่ใหม่เอี่ยมไม่เคยมีประสบการณ์กันมาก่อน ทำให้ดูทันสมัยมาก และยังมีศัพท์แสงสมัยใหม่ไฮเทคอีกด้วย …