All posts tagged: กระทรวงสาธารณสุข

ต้อง ‘แหกคอก’ อัดฉีดเพื่อนักสู้COVID-19

คราวนี้โลกเราเจอโรคระบาดแบบที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนในชั่วชีวิต   มาท้าทายมนุษยชาติ ไม่เลือกชาติ ชั้น วรรณะ  วิกฤตในลักษณะนี้กระตุ้นให้หาทางจัดการกับปัญหาแบบนอกรูปแบบปกติ แบบที่อาจไม่เคยทำมาก่อนในชีวิตนี้ด้วยก็ได้ ดังที่เห็นประเทศต่างๆ ต่างก็ทดลองวิธีของใครของมันอยู่ ต่างก็เรียนรู้ข้อผิดพลาดของกันและกัน และทำไปในขอบเขตและความสามารถที่ผู้บริหารแต่ละประเทศมีอยู่ ในกรอบวัฒนธรรม ความเชื่อต่างๆ ที่แตกต่างกัน แล้วเราจะได้เห็นเองว่าประเทศใดประสบความสำเร็จมากน้อยกว่ากัน ตรงไหน อย่างไร  ที่แน่ๆ ก็คือ บางชาติคิดเร็ว ทำเร็ว (ทำโดยสุจริตจริงจังในสิ่งที่คิดว่าเป็นประโยชน์ต่อประชาชนของตน แต่จะดีหรือไม่ ไว้วัดกันทีหลัง) ดังที่  Zou Yue หัวหน้านักข่าว ประจำปักกิ่งของ CGTN กล่าวว่า  “Desperate time asks for desperate measures”   (ยามเข้าตาจน ก็ต้องใช้มาตรการแบบเข้าตาจน)  เวลาไม่รอท่า ทุกวันความเสียหายยิ่งเพิ่ม และผู้อยู่แนวหน้าเริ่มอ่อนแรง  ดังนั้นวิธีแก้ปัญหาต้องเร็วและเด็ดขาด ถึง “แหกคอก” ก็ต้องทำ เพราะคับขันอย่างยิ่ง กลับมามองประเทศไทย เราได้ยินแต่คำปลอบประโลมประชาชนว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ได้ยินคำหวานๆ ที่โรยให้หมอและพยาบาลแนวหน้า โดยไม่มีใครมุ่งเข้าไปช่วยจัดการในจุดที่กองกำลังเสื้อขาวต้องการมากที่สุดเพื่อต่อสู้กับสิ่งประหลาด นั่นก็คือการส่งกำลังบำรุง (ทั้งคน เงิน และอาวุธ) ที่จำเป็นอย่างพอเพียง เพื่อให้สามารถรบได้โดยไม่ต้องพะวงหลัง  ไม่ต้องเสียเวลารอ  และไม่ต้องอ้อนวอนร้องขอ ไม่ต้องใจหายใจคว่ำว่าจะต้องรบมือเปล่าและบาดเจ็บล้มตาย ในขณะที่คนที่อยู่แนวหลังที่มีหน้าที่ส่งกำลังบำรุง  กำลังค่อยๆ เลื่อนกระดาษผ่านไปทีละโต๊ะๆ เพื่อพิจารณา แก้ไข ท้วงติง กระดึ๊บๆ อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว bureaucracy กลายเป็น​ “bureau-crazy”  ไม่มีใครตอบได้ว่า อีกนานแค่ไหนจึงจะถึงโต๊ะที่จะต้องเซ็นอนุมัติ ทั้งๆ ที่การเซ็นอนุมัติก็แค่ยกปากกามาขีดแกรกเดียว    เรามีปัญหาเรื่องระบบราชการ ที่เป็นอุปสรรคต่อการส่งกำลังบำรุงอย่างรุนแรง  ในสถานการณ์คับขันเยี่ยงเวลานี้ ดิฉันเห็นว่า ใครที่มัวแต่ต้วมเตี้ยมเปิดตำราเก่า หรือกางกฎระเบียบที่เคยใช้ในยามปกติ ควรจับไปขังไว้ (พูดจาให้เห็นภาพ)  แล้วหาคนใหม่มาทำแทนทันที คำถามข้อ ๑. ใครมีอำนาจเบ็ดเสร็จ ตอบ  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยอำนาจที่มีตามกฎหมาย (แต่ตอนนี้อำนาจอยู่ที่ไหนไม่ได้ไปตามดู)  เพราะรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติที่ออกมา เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๘  และเพิ่งประกาศให้ COVID-19 เป็นโรคติดต่อตามพระราชบัญญัตินี้เมื่อ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ นี่เอง คณะกรรมการนี้มีปลัดกระทรวงหรือบุคคลเทียบเท่าอีก ๙ กระทรวงเป็นคณะกรรมการ  อธิบดีต่างกระทรวงรวม ๙ กรม รวมผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มีผู้แทนองค์กรแพทย์ พยาบาล เทคนิคการแพทย์​ โรงพยาบาลเอกชน อย่างละ ๑  อธิบดีกรมควบคุมโรค เป็นกรรมการและเลขานุการ และผู้อำนาวยการสำนักระบาดวิทยา เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ  รวมแล้ว ๒๖ คน นับว่าพลังสูงทีเดียวในแง่ยศตำแหน่งกรรมการ และการครอบคลุมกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง (หรืออาจจะมากเกินจนเดินไม่ได้) ในแง่เครือข่าย ครอบคลุมทั้งประเทศ เพราะมีคณะกรรมการโรคติดต่อของแต่ละจังหวัดที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน และนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอยู่ในทีมด้วย  ในแง่อำนาจก็มีมากมาย  คือประกาศเขตติดโรคได้ทั้งในและนอกราชอาณาจักร สั่งกักกันตัวได้ โดยผู้เดินทางเข้ามาต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่าย  เจ้าของยานพาหนะก็ต้องจ่ายค่าเลี้ยงดู รักษาพยาบาลบุคคลที่เข้าข่าย เจ้าพนักงานควบคุมโรคในพื้นที่ (รัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้ง) มีอำนาจดำเนินการได้เองในพื้นที่ เพื่อห้ามโรคแพร่และป้องกันการแพร่ระบาด แล้วยังเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายอาญา ปรับได้ถ้าไม่ทำตามคำสั่งของคณะกรรมการ    ก็อยากได้ฟังข้อมูลว่า เคยใช้อำนาจนี้หรือยัง ๒. เงินอยู่ไหน ใครรู้บ้าง ด้านการเงินเกี่ยวกับการทำงานตามหน้าที่  คณะกรรมการที่กล่าวมาแล้วเป็นผู้เห็นชอบหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข ในการจ่ายเงินชดเชย ค่าทดแทน ค่าตอบแทน และค่าใช้จ่ายในการเฝ้าระวัง สอบสวนโรค ป้องกัน และควบคุมโรค โดยนัยนี้ เมื่อกระทำการลงไปตามหน้าที่  รัฐบาลย่อมต้องหาเงินมาให้จ่าย     ในกรณีฉุกเฉิน กระทรวงสาธารณสุขมีงบกลางกว่าพันล้านบาท  แต่จะใช้เมื่อไร อย่างไร ก็แล้วแต่จะพิจารณาตามกระบวนการพิจารณา …

Leader must lead

ในการประชุมครั้งหนึ่ง ทุกคนออกความเห็นกันแล้ว ดิฉันในฐานะคนนั่งหัวโต๊ะ  ก็เคาะเลือก   ตอนนั้นมีคนต่อว่า “ตอบแล้วไม่เห็นเชื่อ ทีนี้เลิกพูดละ”  ดิฉันอ้างประธานาธิบดีคนหนึ่ง ว่า “การตัดสินใจเป็นของดิฉันเอง เพราะดิฉันเป็นผู้บริหารสูงสุด  การรับฟังแปลว่ารับฟังแล้วใคร่ครวญ   ดิฉันไม่ใช่เสมียนนับเลขจะได้คอยแต่นับว่าเสียงข้างมากตกลงว่ายังไง แบบนั้นไม่ต้องใช้ผู้บริหารเงินเดือนสูง ให้เสมียนทำก็ได้” ท่านนายกคะ ท่านเลิกนับเลขได้แล้วค่ะ ดิฉันโพสต์ภาพนี้ขึ้น facebook เพจ Knowledge Plus by นวพร  ไปเมื่อปลายเดือนมกราคม ๒๕๖๓ นี่เองเพราะรู้มาว่า ครั้งหนึ่งเมื่อมีโรคระบาดบรรลือโลก ประเทศไทยรอดมาได้เพราะท่านนายกฯ สมัยนั้นใช้สไตล์ทหาร (ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นทหาร) “เรื่องนี้เป็นเรื่องของหมอ ผมมอบปลัดกระทรวง กับหมอ… (หัวหน้าทีมโรคระบาดที่เพิ่งตั้งขึ้นมา) สั่งการได้ทุกเรื่อง ทุกหน่วยงาน ใครมีอะไรติดต่อกับหมอ ๒ ท่านนี้” แพทย์สบายใจ ทำงานเต็มที่ในวิชาชีพ ทุกหน่วยงานให้ความร่วมมือจนงานผ่านพ้นด้วยดี ประเทศไทยรอดปลอดภัย  แน่นอนเครดิตทั้งหมดเป็นของรัฐบาล  ขอเพียงใช้คนให้ถูกกับงานและมอบอำนาจให้ทำงานได้เต็มกำลัง ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ครั้งนี้เป็นไงก็รู้กันอยู่ เช่น (๑) กรมการค้าภายในกับหน้ากากวิเศษ (คือหายได้)    (๒) การกักตัวไม่ได้ผล คนออกไปเพ่นพ่านเย้ยว่าไม่กักตัวเองไม่เห็นมีใครว่า  ติดใครอีกบ้างก็ช่าง  (๓) นักท่องเที่ยวจากประเทศกลุ่มเสี่ยงเดินกันว่อนเมืองไทย  ท่าอากาศยานที่ปกติก็ใช้เจ้าหน้าที่มากกว่าที่ไหนๆ อยู่แล้ว (เช่น ๑ สายพานตรวจของ มีพนักงานอยู่ ๕ – ๖ คน) ตอนนี้ยิ่งมากขึ้นไปอีก (๔) อุปกรณ์ทางการแพทย์และอุปกรณ์สำหรับดูแลความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่หน้างาน มีไม่พอ (๕) นโยบายด้านการเดินทาง และการชุมนุมจัดงานคนมากๆ ออกมานานแล้ว แต่คนก็ยังจัดงานกันอยู่ ทั้งงานแต่ง งานประชุม งานอีเว้นต์ต่างๆ  (๖)  เทศกาลสงกรานต์ยังไม่ฟันธงสักทีว่าจะไม่มี  ได้ยินว่ายังฟังรอบด้านอยู่ และทั้งหมดนี้ยังไม่ได้ยินว่า การตรวจเงินแผ่นดินจะเข้ามาดูในส่วนที่ผิดปกติหรือไม่ ท่านนายกฯ คะ ท่านเป็นทหาร  ท่านย่อมรู้ว่าการต่อสู้กับศัตรูที่ล่วงล้ำดินแดน ท่านสั่งการแม่ทัพนายกองของท่านอย่างไร  ดิฉันเชื่อว่าจะออกรบทั้งที ท่านไม่ถามนักธุรกิจและผู้ประกอบการหรอกค่ะว่าแผนการรบของท่านแบบนี้ ดีไหม ใครเห็นด้วย ใครจะเสียหายบ้าง จะเยียวยายังไง รบให้ชนะก่อนเถอะค่ะ ที่เหลือคิดทีหลังหรือปล่อยให้ฝ่ายพลเรือนเขาคิดไปพลางๆ  ตอนนี้ท่านเป็นยิ่งกว่าแม่ทัพ เพราะท่านคือผู้บริหารสูงสุด แต่ว่า “ตอนนี้เชื่อไหมแม้ใจที่แกร่งเกิน ยังถูกน้ำเงินกระหน่ำเสียยับเยิน”  ท่านไม่มอบอำนาจให้กองกำลังรบชุดขาวให้ได้รบเต็มที่ เพราะท่านมัวแต่ไปถามพวก ป. เอก บริหารธุรกิจ ป. โท การเงินและบริหารธุรกิจ ฯลฯ (ถ้าจะถามเรื่องแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ท่านควรจะถามนักเศรษฐศาสตร์ค่ะ)  เขาเหล่านั้นพูดได้แต่เรื่องธุรกิจไหน ใครได้ ใครเสีย เสียเท่าไหร่ และเสนอจะช่วยใครยังไง  เขาคิดไม่ครบค่ะ อย่างน้อยที่สุดที่เห็นชัดที่สุดคือ เขาลืมคิดต้นทุนต่อสังคมและงบประมาณของการมีคนป่วย การกักกัน และการรักษา และผลผลิตของประเทศที่หายไปจากการที่มีคนป่วย และคนระวังไม่ให้ตัวเองป่วย ฯลฯ  ปกติคนที่มองทีละธุรกิจคิดไม่ออกค่ะ    ในขณะที่กำลังอยู่หน้าสิ่วหน้าขวาน ท่านพะวงทำไมกับกำไรขาดทุนของกิจการบางกิจการ  ท่านลืมความเป็น ทหารของท่านไปเสียแล้วหรือคะ  ในยามศึกสงคราม ใครได้ใครเสียไม่สำคัญเท่ากับกำลังรบของท่านสมบูรณ์ พร้อมยันข้าศึก  การส่งกำลังบำรุงเต็มที่ ถามจริงๆ  เศรษฐกิจหรือธุรกิจจะเหลืออะไร  ประเทศจะเหลืออะไร   ถ้าศัตรูเงียบที่ชื่อ โควิด ทำนักรบบาดเจ็บล้มตาย และราษฎรของท่านง่อยเปลี้ยเพลียแรงกันหมด อ้อ ท่านอาจจะถูกกล่อมด้วยคำว่า “จีดีพี จะลด”  ในฐานะที่เรียนเศรษฐศาสตร์มา ขอเรียนว่าท่านไม่ต้องสนใจเลยค่ะ  ราษฎรคือทรัพยากรสำคัญของการผลิต ​ แรงงานไม่แข็งแรง เศรษฐกิจก็ไม่รอด  และขอเรียนเพิ่มเติมด้วยว่า การวัดด้วยจีดีพี เองก็ไม่สอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงด้วยค่ะ นักเศรษฐศาสตร์รู้ดีว่า ยังไม่มีวิธีวัดที่ยอมรับกันได้แต่เรื่องนี้  แต่พูดไปก็รกสมองท่านเปล่าๆ ​ เอาเป็นว่าเวลานี้ท่านนายกฯ ไม่ต้องสนใจเรื่องอื่น ท่านเผชิญศึกหลายด้าน ท่านจำเป็นต้องจัดแม่ทัพให้เหมาะกับแต่ละด้าน  ไม่เช่นนั้นก็แพ้ทุกด้าน อ้อ แม่ทัพนายกองที่ออกรบทีไร ก็แพ้ทีนั้น ท่านปลดประจำการไปเลยค่ะ ถ้าทำได้ เสนอให้ท่านหยุดนิ่งๆ สัก ๑ – ๒ ชั่วโมง  เปิดโทรทัศน์ดูซีรีส์  หลางหยาป่าง ภาคแรก ตอนสุดท้ายตอนเดียว เพราะท่านไม่มีเวลาดูทั้งเรื่องแน่ๆ  ในตอนสุดท้ายของเรื่อง ผู้บริหารสูงสุด (ในกรณีโบราณคือฮ่องเต้) เจอศึกสามด้านพร้อมกัน  เขาจัดคนรับศึกอย่างไร  สรุปได้ว่า การวางตัวแม่ทัพรับศึกที่สำคัญที่สุดคือ จัดแม่ทัพให้ตรงกับความสามารถและความถนัดของแม่ทัพคนนั้นๆ  ผิดจากนี้แล้ว ท่านเองต้องนำทัพเอง  ถ้าท่านไปออกศึกเสียแล้ว ใครจะดูแลประเทศล่ะคะ ท่านจัดอื่นๆ ให้เรียบร้อยแล้วรอฟังผลจากแม่ทัพของท่านดีไหมคะ (อ้างถึงภาพเปิดของเรื่องนี้ กษัตริย์และข้าราชบริพารระดับสูงในปอร์ตุเกส ที่สปอนเซอร์ให้คริสโตเฟอร์โคลัมบัสเดินทางไกล ไปในดินแดนที่ไม่เคยรู้จัก กำลังต้อนร้บโคลัมบัสกลับมา พร้อมข้าวของทองคำมากมาย) ข้อเสนอนโยบาย ในวิกฤติ คนเราเลือกได้ว่า จะทำให้ยิ่งวิกฤติ หรือมองวิกฤติให้เป็นโอกาสสำหรับประเทศ ๑. ไม่พึงทำนโยบายหล่มทรายดูด ในยามปัจจุบัน เหมือนทหารมีกำลังพลน้อยนิด ศัตรูมีกำลังมหาศาล แต่อยู่ไหนก็ไม่ชัด  เสธ.​ต้องคิดว่าจะสู้ จะถอย หรือจะกบดาน รอเวลา  ถ้าขาดสติผลีผลามออกไปสู้ อาจตายได้หมดหน่วย  เหมือนเรามีเงินจำกัด   แต่รีบร้อนจะทำนโยบายแจกเงิน นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในตอนที่กำลังลูกผีลูกคนว่าโควิดจะระบาดถึงไหน หมอและโรงพยาบาลรับมือไหวไหม    สิ่งที่ทำอาจเป็นนโยบายลิงแก้แห ยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง ยิ่งแก้เงินยิ่งหมด ยิ่งแก้โรคยิ่งระบาด  เขาว่ากันว่า ถ้าตกลงไปในหล่มทรายดูดยิ่งดิ้นยิ่งถูกดูด ทางที่ดีคืออยู่นิ่งๆ แล้วหาทางคืบคลานออกจากหล่ม การแจกเงิน การชวนคนเที่ยว การจัดอีเว้นท์ สารพัดสิ่งที่คิดขึ้นมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ  คิดตอนนี้ก็ได้ แต่อย่าเพิ่งทำเลยค่ะ ​คิดให้รอบคอบ คิดให้ได้ผลดีให้มากๆ แล้วลงมือเมื่อคลื่นลมสงบ ทำตอนนี้เสียแรงเปล่า ถนอมกำลังไว้ดีกว่า ๒.  ใช้นโยบายหมีจำศีล  กับทุกภาคส่วนของธุรกิจ  มีคนช่วยคิดได้มาให้บางส่วน …

Coronavirus @ Wuhan: แอบฟังหมอคุยกัน

๒๗ มกราคม แดดเปรี้ยง ฟ้าแจ่ม อุณหภูมิตอนบ่าย ณ กระทรวงสาธารณสุข ถนนงามวงศ์วาน อยู่ที่ 32 องศาเซลเซียส  “ร้อนแบบเมืองเราตอนนี้ ไวรัสตายเร็ว”  หมอกำลังคุยกันเรื่องโคโรนาไวรัส ที่กำลังระบาดอยู่ที่หวู่ฮั่น ประเทศจีน  ซึ่งในเวลานี้อุณหภูมิที่นั่นต่ำกว่า ๑๐ องศาเซลเซียส  “เห็นคาดหน้ากากกันฝุ่นจิ๋วกันทั่ว  ต้องรู้นะว่าไวรัสตัวนี้มากับของเหลว และอยู่นอกร่างกายคนได้ประมาณ ๗ วัน”  คือไวรัสปะปนมาในสารคัดหลั่งของร่างกายผู้ป่วย เช่น น้ำลาย การไอจาม เป็นต้น จึงเป็นที่มาของการให้ประชาชนล้างมือบ่อยๆ ก่อนจะเอามือที่หยิบจับโน่นนี่ เปิดประตู กดลิฟต์ วางไปบนราวบันได ฯลฯ  แล้วเอาไปถูกหน้าตา หรือจับอาหารเข้าปาก รวมทั้งข้อแนะนำไม่ให้อยู่ในที่มีคนแออัด เพราะเชื้อโรคจะมีโอกาสเข้าไปทางทวารต่างๆ ของตัวเราได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราหยิบจับอาหาร เนื่องจากหวู่ฮั่นเป็นหนึ่งในศูนย์กลางคมนาคมของประเทศ การแพร่ออกนอกพื้นที่เกิดขึ้นได้สูงมาก ทางการจีนจึงสั่งปิดเมือง คนในไม่ให้ออก (ไปแพร่เชื้อ) คนนอกไม่ให้เข้า แม้กระทั่งคนหวู่ฮั่นเองที่เดินทางอยู่นอกประเทศก็กลายเป็นผู้ตกค้าง กลับบ้านไม่ได้  ประเทศไทยเป็นหนึ่งในเป้าหมายพื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวังอย่างเข้มงวดกว่าอีกหลายๆ ประเทศในโลก เพราะเราเป็นหนึ่งในจุดหมายการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจีน  ที่ต้องเฝ้าระวังที่สุดคือ “ประตูเมือง” ได้แก่สนามบิน และทุกเส้นทางที่มีด่านตรวจคนเข้าเมือง แต่เฝ้าระวังแค่นั้นยังไม่พอ เพราะไม่สามารถตรวจจับไวรัสได้ทันทีแบบตรวจหาอาวุธที่พกติดตัว  เชื้อโรคสามารถแฝงอยู่ในคน รอเวลาฟักตัว แล้วแสดงอาการอีกหลายวันต่อมา  หมอจึงต้องประสานกับบริษัททัวร์ให้บรรดาหัวหน้าทัวร์เป็นหนึ่งในทีมเฝ้าระวัง เมื่อลูกทัวร์ในกรุ๊ปทัวร์มีอาการป่วยก็รีบแจ้ง ซึ่งเชื่อว่าทุกคนคนรีบทำ รวมทั้งลูกทัวร์เองด้วย  ไม่มีใครอยากป่วย ไม่มีใครอยากตาย (ตอนที่ยังไม่รู้ว่าอาการนี้เป็นแล้วถึงตายมากน้อยแค่ไหน) นอนป่วยในโรงพยาบาลเมืองไทยน่าจะดีกว่ากลับไปแออัดที่เมืองจีน  ฟังแล้วก็อดสังสัยไม่ได้ว่าจะมีคนแกล้งป่วยไหมนะ จะได้ยังไม่ต้องกลับประเทศ ได้กินฟรีอยู่ฟรีในโรงพยาบาล (เออ ประเทศไทยมีเงื่อนไขให้ผู้เดินทางต้องประกันการเดินทางหรือเก็บเงินนักท่องเที่ยวเมื่อเข้าโรงพยาบาลไทยหรือเปล่านะ) แค่นั้นก็ยังไม่พออีก เพราะพอมีผู้แสดงอาการป่วย ทีมหมอจะต้องติดตามลูกทัวร์ทุกคน เผื่อว่าจะมีคนติดไปอีกต่อหนึ่ง และยังต้องตามไปดูที่พัก ฯลฯ ที่นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ไป  เรียกว่าตามติดแบบนักสืบสืบจับผู้ร้ายเลยทีเดียว และผู้ร้ายไวรัสไม่โผล่ตัวเป็นๆ มาให้เห็นเสียด้วย นักสืบต้องรอตอนที่ผู้ร้ายลงมือกระทำการแล้วเท่านั้น แอบได้ยินหมอนักวางแผนบอกว่า ค่าตามทั้งหมดอาจจะตกคนละล้าน เพราะต้องตามกันคนละหลายวัน หลายพื้นที่ที่นักท่องเที่ยวไปเที่ยว ฟังแล้วเหนื่อยแทน ทางการมีวอร์รูมสองห้อง  เป้าหมายคือป้องกันไม่ให้เชื้อโรคบุกเข้ามาระบาดในประเทศไทย ถ้าเข้ามาแล้วก็ต้องควบคุมและกำจัดให้เร็วที่สุด ไม่ให้ลุกลาม ห้องเล็กมีหน้าที่คิดแบบเสนาธิการ มีมาตรการอะไรต้องทำบ้าง มีอะไรที่ทำได้อีกบ้าง มือระบาดวิทยาที่มีประสบการณ์มาแล้วในการสงครามกับโรคระบาดครั้งก่อนๆ ถูกดึงตัวมาร่วมกันคิด ร่วมกันวางแผน ร่วมกันเสนอนโยบาย ห้องใหญ่ คนที่เกี่ยวข้องมากกว่า มีหน้าที่ทำงานอื่นๆ ทั้งหมด ทั้งงานประชาสัมพันธ์ ติดต่อผู้เกี่ยวข้อง ติดตามความคืบหน้า จัดกำลังคน ฯลฯ    จริงๆ แล้วหมอๆ ทั้งหลายอยากติดตามลูกทัวร์ทั้งหมด ทุกคน ทุกเมือง เป็นระยะ เช่น ทุก ๓ วัน ไม่ใช่รอให้มีอาการแล้วค่อยวิ่งไปดำเนินการ และต้องการตรวจเลยไปถึงโรงแรมที่ทัวร์เข้าพัก เพื่อดูการป้องกันของสถานประกอบการ รวมทั้งวางระบบการส่งผู้สงสัยว่าจะป่วยให้รวดเร็วและสะดวก  แต่ยังทำไม่ได้เต็มรูปแบบที่คิดไว้ เพราะต้องการทั้งนโยบายจากฝ่ายการเมืองและงบประมาณฉุกเฉินเพื่อการนี้ ยังมีคนที่คิดว่า โรคนี้เดี๋ยวก็หายไป ตื่นเต้นตกใจกันเกินไป (คือหาว่าคนอื่นเป็น “กระต่ายตื่นตูม”) แต่สำหรับอีกบางคน ต้นทุนการป้องกันสิ้นเปลืองกำลังคนและเงินอย่างไรก็ยังต่ำกว่าการสูญเสียกรณีเกิดโรคระบาดและมีคนตาย (คือถือหลัก “กันดีกว่าแก้” ) ส่วนทางการเมืองเองก็ยังชั่งใจอยู่ระหว่างธุรกิจท่องเที่ยวกับสุขภาพประชาชน คือกลัวนักท่องเที่ยวไม่มาถ้าคุมเข้ม และไม่แน่ใจความร้ายแรงของโรคระบาด  คือคิดว่า “ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม” โดยที่ไม่ได้มีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าป่วยกี่รายจึงจะกดปุ่มตกใจ (alert) เต็มรูปแบบ   คนที่ต้องการป้องกันกลับกลัวว่า “กว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้”  เพราะโรคที่จะระบาด ไม่รอใคร  เรื่องนี้ถ้าองค์การอนามัยโรค (World Health Organization) ประกาศว่าเป็นโรคที่ต้องคุมเข้ม (PHEIC Public Health Emergency International Concern) แล้ว หมอๆ ก็ไม่มีเรื่องกระวนกระวายใจ เพราะประกาศแบบนั้นเท่ากับเปิดไฟเขียวให้หมอๆ ลงมือใช้มาตรการคุมเข้มขั้นสูงสุดได้เลยโดยไม่ต้องรอช้า  แต่เพราะเราใกล้จุดศูนย์กลางของอันตรายมากกว่าประเทศอื่นๆ เราเคยดีใจที่เราได้นักท่องเที่ยวจีนมากกว่าประเทศอื่นๆ  นี่คือสิ่งที่กลับมาเป็นความเสี่ยงที่เราต้องยอมรับ ดังนั้นเราจำเป็นต้องกล้าทำมาตรการไปก่อน แทนที่จะรอให้องค์การอนามัยโลกประกาศ เพราะกว่าจะถึงตอนนั้น เราอาจจะเป็นพื้นที่อันตรายไปแล้ว …

Big Data ในกระทรวงสาธารณสุข: เรื่องง่ายที่ยิ่งใหญ่

 Data บ้านเรามีอยู่ทั่วไป แต่…      กระจัดกระจาย (scattered)      ไม่สมบูรณ์ (incomplete)      ไม่เป็นรูปแบบเดียวกัน (not uniformed)      ไม่เชื่อมโยงกัน (not integrated)       ไม่มั่นใจในความถูกต้องเพราะขาดการสอบทานหรือขาดการจัดเก็บอย่างเป็นระบบ (lack of data integrity) และ       มักไม่เป็นที่เปิดเผยเพื่อผู้อื่น (inaccessible)    จึงทำให้เป็น Big Data ยาก แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำไม่ได้ กล่าวโดยเฉพาะสำหรับกระทรวงสาธารณสุข ข้อมูลรวมหาได้ง่ายมาก หรืออันที่จริงไม่ต้องหาเลย ถ้ามีเป้าหมายว่าทุกข้อมูลจะต้องใช้ประโยชน์ได้หลายแบบ โดย… หนึ่ง โรงพยาบาลนำเข้าข้อมูลเป็นรูปแบบเดียวกัน และด้วยคำจำกัดความที่เหมือนกัน)  ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลที่ใดในประเทศนี้ สอง  นำเข้าครั้งเดียว ใช้ได้ทั่วทั้งระบบเล็กในโรงพยาบาล และระบบใหญ่ทั้งประเทศ  เมื่อมีฐานข้อมูลเดียวกันที่เชื่อถือได้ (ดูภาพจากบทความที่แล้วเรื่อง sharing economy ที่เป็นภาพดาต้าจากท้องฟ้าอากาศ เป็น input เข้ากรวยไปออกมาเป็น output เป็นกลุ่มก้อนอีกหลายแบบ) ก็เหมือนวัตถุดิบที่ได้คุณภาพเดียวกัน  ผู้ใดใคร่นำไปใช้เพื่อตอบโจทย์เรื่องใดก็มาเก็บเกี่ยวไปปรุงในแบบที่ต้องการ  ตัดปัญหาเรื่อง junk in, junk out ลงไปได้เสียที ข้อมูลผู้ป่วยที่มารับการรักษาพยาบาล หรือที่เข้ามาติดต่อที่โรงพยาบาลในสังกัดของกระทรวงสาธารณสุข สำคัญมากด้านนโยบายสุขภาพของประเทศ  ข้อมูลทำนองนี้หาได้ยาก เมื่อต่างโรงพยาบาลต่างก็เก็บข้อมูลตามสไตล์ของตัวเอง หรือตามความพอใจของผู้บริหารหรือผู้ดูแลงานข้อมูลแต่ละโรงพยาบาล  ยิ่งโรงพยาบาลที่ต่างแผนกต่างเก็บข้อมูลของตัวเองในแบบของตัวเอง การนำข้อมูลมารวมกันเพื่อดูภาพรวมยิ่งยากมาก แถมบางครั้งการนำข้อมูลจากแผนกหนึ่งไปใส่ใหม่ในอีกแผนกหนึ่งเพื่องานของแผนกนั้น เกิดความผิดพลาด ข้อมูลไม่ตรงกัน โทษกันไปมา แล้วก็ต่างคนต่างแยกกันทำยิ่งขึ้น ต่างคนต่างก็บอกว่าแบบของตัวเองถูกต้องกว่า ไม่เป็นอันสิ้นสุด ข้อมูลจะเชื่อถือได้ก็ต่อเมื่อนำเข้า ณ จุดใดจุดหนึ่งเพียงจุดเดียว แล้วข้อมูลก็เดินทางไปยังจุดต่างๆ เพื่อทำงานในแต่ละด้าน ไม่มีใครสามารถเข้าไปเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่ได้บันทึกแล้วได้อีกเลย   โดยมากจุดเดียวนั้นคือจุดตั้งต้น หรือจุดที่จะมีการสอบกระทบยอดทุกวัน  ณ จุดตั้งต้นมักมีผู้สอบทานภายนอกด้วย (เช่นข้อมูลชื่อคนไข้ คนไข้ก็เห็น  หรือลองคิดถึงเรื่องที่คุ้นเคยกันอยู่ คือการฝาก-ถอนเงินที่ธนาคาร  ลูกค้าเจ้าของเงินนั่นเองที่เป็นผู้ตรวจสอบยืนยันความถูกต้องของข้อมูลที่พนักงานธนาคารนำเข้าระบบของธนาคาร)  นี่คือหลัก  SINGLE  DATA  ENTRY ถ้าโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขยึดหลักการทำ single data entry ทั่วทุกโรงพยาบาล  (ทั้ง สำนักงานปลัด และกรมอื่นๆ ในกระทรวงสาธารณสุข ทั่วประเทศ) เราก็จะได้ data จำนวนมากจากทั่วประเทศ ยิ่งถ้าโรงพยาบาลของรัฐทำด้วยกันหมด คือ โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงกลาโหม มหาดไทย และมหาวิทยาลัย ด้วย ก็ยิ่งได้ data มากยิ่งขึ้น     นี่คือ กองดาต้าจำนวนมหาศาล จะนำไปใช้ก็ดี  ขายก็ได้ (หมายถึง data รายกลุ่ม ไม่ใช่รายบุคคล) สุดแท้แต่เจ้าของข้อมูล และผู้จะใช้ข้อมูล เช่น นักวิจัย นักวางแผน ฯลฯ ผลดีคือ (ก) การทำวิจัยในระยะต่อไปไม่ต้องของบฯ ไปเก็บข้อมูล เพราะข้อมูลมีอยู่แล้ว และ (ข) การทำนโยบายบางด้านไม่ต้องเดา เพราะมีข้อมูลยืนยัน   ทั้งนี้หมายถึงว่าผู้ทำต้องฉลาดที่จะตั้งคำถามและมีทักษะในการหยิบคำตอบออกมาจากกองดาต้า Big data สำหรับงานสุขภาพของชาติที่ทำผ่านระบบโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข ใช้ต้นทุนน้อย ได้ประโยชน์ทั้งในงานโรงพยาบาล และจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างมาก  เชื่ออย่างยิ่งว่า Big Data จากกระทรวงสาธารณสุขเป็นงานง่าย ขอเพียงเข้าใจและตั้งใจ ทีนี้แหละ จะคุยได้เต็มปากเสียทีว่า เรามี Big Data ของจริง นวพร เรืองสกุล ๑๔ …

สาเหตุที่โรงพยาบาลของรัฐ (เฉพาะในสังกัด สำนักงานปลัด) ขาดทุน

ปวดหัวอาจจะมาจากหลายสาเหตุ ต้องพิเคราะห์ความเป็นไปได้เป็นเรื่องๆ ไป ไม่มียาวิเศษขนานเดียวแก้โรคปวดหัวจากทุกสาเหตุ  เรื่องโรงพยาบาลขาดทุนก็ทำนองเดียวกัน คราวที่แล้วนำข้อเสนอปฏิรูประดับระบบการให้บริการสุขภาพมาเสนอแล้ว คราวนี้ขอกลับไปที่สาเหตุของปัญหาในโรงพยาบาลแยกตามลักษณะของปัญหา  และทางแก้ปัญหาเฉพาะกลุ่ม   สาเหตุของปัญหาทางการเงินของหน่วยบริการและข้อเสนอแนะทางแก้ปัญหา  ปัญหาด้านการเงินที่เกิดกับหน่วยบริการอันมีที่มาจากส่วนกลางหรือภาพรวมมี 3 ด้านคือ ก. เงินจำนวนรวมไม่พอ   ข. การจัดสรรไม่เหมาะสม และ ค. การบริหารจัดการไม่ดี ข้อมูลจากการศึกษาของผู้บริหารจัดการโครงการจากงบทดลองโดยรวม มีข้อบ่งชี้ว่าจำนวนเงินโดยรวมเริ่มไม่พอ และถ้าหากว่ายังหาข้อสรุปไปในทางอื่นไม่ได้ สปสช. ควรหยุดการเพิ่มสิทธิประโยชน์ไว้ก่อน แต่เรื่องนี้อยู่นอกขอบเขตการทำงานของคณะกรรมการฯ ส่วนอีกสองด้านที่เหลือเป็นเนื้อหาของบทนี้ ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทำให้รายได้ไม่พอกับรายจ่าย (ปัญหาของโรงพยาบาลไม่ใช่ปัญหาของบุคคล) ที่ต้องการการแก้ไขระดับกระทรวงหรือกระทรวงร่วมกับสปสช.  ข้อเสนอแนะที่ 1 ปัญหาเกิดมาจน แก้ปัญหาด้วยการจ่ายแบบขั้นบันไดเพื่อให้ครอบคลุมต้นทุนโรงพยาบาล โรงพยาบาลขนาดเล็กบางแห่งจำเป็นต้องให้เกิดมาเพื่อให้บริการประชาชนในพื้นที่ห่างไกลหรือพื้นที่ที่ประชากรเบาบาง ตามนโยบายของรัฐที่จะให้มีโรงพยาบาลชุมชนในทุกอำเภอของประเทศไทย  โรงพยาบาลแบบนี้ไม่ได้ economy of scale ในการดำเนินการ จึงมีค่าใช้จ่ายจำนวนหนึ่งเป็นต้นทุนคงที่ที่สูงกว่ารายได้ที่หาได้  ดังนั้น การขาดทุนจากการดำเนินงานเป็นปัญหาของตัวโรงพยาบาลนั้นเองและนานไปก็กลายเป็นปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัว  เรื่องนี้ไม่อาจเยียวยาอาการร่อแร่ได้ด้วยการหยอดน้ำเกลือ แบบให้เงินไปทีละครั้งเพื่อพยุงไว้ตามแต่จะมีเสียงเรียกร้อง แต่ควรแก้ไขให้ฟื้นได้จริง โดยดำเนินการจาก 2 ด้านคือ ก. กระทรวงสาธารณสุขประเมินต้นทุนคงที่ที่จำเป็น เพื่อให้ดำรงการให้บริการขั้นต่ำที่หน่วยบริการหนึ่งพึงมีในระดับคุณภาพที่กำหนดเอาไว้ให้ได้ โดยไม่ใช้จำนวนเตียงเป็นบรรทัดฐานเพียงปัจจัยเดียว เพราะอัตราการครองเตียงของหน่วยบริการขนาดเล็กก็ค่อนข้างต่ำ ข. สปสช. เปลี่ยนการเหมาจ่ายรายหัว โดยคำนึงถึงจำนวนประชากรด้วยและจ่ายเงินรายหัวเพิ่มให้โรงพยาบาลขนาดเล็กเพื่อสะท้อนความพยายามจะช่วยให้ประชาชนได้เข้าถึงบริการได้ในพื้นที่ได้และสะท้อนความเป็นจริงที่ว่า โรงพยาบาลชุมชนส่วนมาก ให้บริการประชากรในระบบสปสช. เกือบทั้งหมด ตามหลักเศรษฐศาสตร์ เป็นการจ่ายเพื่อให้คุ้มกับค่ามีบริการในพื้นที่ที่ไม่คุ้มกับการบริการตามปกติ 704. ข้อเสนอแนะมี 2 แบบ คือ เหมาจ่ายแบบกำหนดจำนวนประชากร UC ขั้นต่ำที่ 30,000 คน กับเหมาจ่ายแบบขั้นบันไดเพื่อให้เป็นธรรมมากขึ้นกับโรงพยาบาลที่มีประชากร UC ต่างกัน และสอดคล้องกับหลักการประกันภัยด้วย เช่น จ่ายเป็น 2 ช่วง ตัดช่วงแรกที่ 15,000 คน กับจ่ายเป็น 3 ช่วง ตัดทีละ 10,000 คน การตัด 3 ช่วง จะเป็นธรรมมากกว่า 705.  แสดงการเหมาจ่ายรายหัวแบบขั้นบันได โดยเหมารวมงบ OP และ IP แบบง่าย ที่โรงพยาบาลขนาดเล็กให้บริการได้ ภาพที่ 7.1 ตัวอย่างจำนวนเงินที่โรงพยาบาลขนาดเล็กได้รับถ้าจ่ายเงิน UC แบบขั้นบันได 706. การจ่ายเงินให้พอกับความจำเป็นของโรงพยาบาลจะลดภาระและความกังวลของแพทย์ผู้อำนวยการด้านการเงิน ทำให้แพทย์สามารถใส่ใจกับการให้บริการด้านสุขภาพได้ดียิ่งขึ้น 707. โรงพยาบาลที่ประชากรน้อยและมีปัญหาเพิ่มในด้าน geographical location ทำให้ transportation cost และ transaction cost สูง หากจำเป็นต้องจัดสรรเงินเพิ่ม ควรพิจารณาเพิ่มเติมด้วยหลักการอื่น หลังจากจัดสรรเงินตามจำนวนประชากรในสิทธิ UC แล้ว 708. สิ่งที่พึงแก้ไขเพิ่มเติม เมื่อแก้ไขปัญหารายปีได้แล้ว จำเป็นต้องพิจารณาดำเนินการสะสางหนี้เก่าที่พอกพูนอยู่อย่างเป็นขั้นตอนต่อไป  ข้อเสนอแนะที่ 2 ปัญหาสายน้ำเปลี่ยนทาง แก้ปัญหาด้วยทีมพัฒนาธุรกิจ โรงพยาบาลที่ over capacity คือ มีประชากรทุกสิทธิน้อย แต่มีอาคาร อุปกรณ์ ฯลฯ แล้ว ซึ่งอาจเกิดได้แม้ในปัจจุบัน เช่น ประชากรจำนวนหนึ่งย้ายสิทธิไปตามการแบ่งอำเภอ แบ่งจังหวัด ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของกระทรวงสาธารณสุข ควรจัดทีมพัฒนาธุรกิจศึกษาเป็นรายโรงพยาบาล และกำหนดแผนร่วมกันระหว่างกระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาล และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับปรุงบางส่วนเป็นสถานพักฟื้น ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ หรือโรงพยาบาลเฉพาะทาง ฯลฯ ตามศักยภาพของพื้นที่และความเป็นไปได้ในด้านความยั่งยืน ในเรื่องนี้ควรจัดจ้างผู้มีความรู้ความชำนาญและมีผลงานด้านการทำ turn around ธุรกิจ หรือพัฒนาธุรกิจมาก่อนแล้ว เป็นผู้ศึกษาและนำเสนอจนถึงขั้นลงมือดำเนินการ เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว จึงเป็นเรื่องที่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลและส่วนงานในกระทรวงร่วมกันทำให้เกิดต่อไป ข้อเสนอแนะที่ 3 ปัญหาแย่งผู้ป่วยจากการแยก ขยาย และยกระดับโรงพยาบาล แก้ปัญหาด้วยการวางแผนการลงทุนเป็นเครือข่าย การที่โรงพยาบาลแต่ละแห่งลงทุนขยายงาน ไม่ว่าจะเป็นไปเพื่อลดความแออัดในโรงพยาบาลอื่นหรือหวังว่าจะได้รายได้เพิ่มจากค่ารักษาพยาบาล ก็เป็นการแบ่งผู้ป่วยสิทธิต่างๆ มาจากโรงพยาบาลที่มีอยู่แล้ว …

ปรับรื้อ สธ และจัดโครงสร้างระบบสุขภาพใหม่ ตอนที่ 2

ตอนที่ ๑ ได้เสนอแนะโครงสร้างของระบบสุขภาพที่ควรมีการปรับใหม่ แยกให้ชัด ระหว่าง ผู้วางนโยบาย (policy maker)  ผู้ให้บริการ (provider) ผู้ซื้อบริการ (purchaser) และผู้กำกับ (regulator)  ครั้งนี้เป็นข้อเสนอแนะที่เหลือ ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม การมีท้องถิ่นเป็นเจ้าของโรงพยาบาล ในเรื่องนี้มีข้อสังเกตว่า แต่ละประเทศมีผู้ให้บริการแบบใดบ้างจะขึ้นอยู่กับความเป็นมาและบริบทสังคมของแต่ละประเทศนั้น ประเทศที่ท้องถิ่นเป็นเจ้าของโรงพยาบาลมักมีประวัติศาสตร์การเมืองและการปกครองแบบอิสระต่อกันมาก่อน หรือว่าท้องถิ่นมีขนาดใหญ่แบบมณฑลในสมัยก่อนหรือเขตในสมัยนี้ และค่อนข้างอยู่ตัวไม่เปลี่ยนแปลงบ่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ซอยย่อยแบบที่ประเทศไทยเพิ่มจังหวัดและอำเภอ กระทรวงน่าจะพิจารณาประเด็นนี้แล้วสร้างทางเลือกหลายๆ ทาง เช่น ก. ด้านการให้บริการ ชักชวนให้องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นร่วมลงทุนในโรงพยาบาลชุมชนหรือโรงพยาบาลทั่วไปในสังกัดสำนักงานปลัดฯ หรือลงทุนในบริการบางด้านโดยโรงพยาบาลร่วมสนับสนุนด้านวิชาการ โดยท้องถิ่นมีส่วนเข้ามาร่วมบริหาร จะประหยัดงบประมาณส่วนกลาง ได้ความมีส่วนร่วมในท้องถิ่นและป้องกันปัญหาการเกิดโรงพยาบาลขนาดเล็กที่อาจไม่ได้คุณภาพในการให้บริการ ข. ด้านการซื้อบริการ โรงพยาบาลและงานในส่วนภูมิภาคพัฒนาบริการระดับชุมชนและท้องถิ่นแล้วนำเสนอให้ท้องถิ่นเลือกซื้อเป็นบริการเสริมสำหรับประชาชนในพื้นที่ งานด้านส่งเสริม ป้องกันระดับชุมชนน่าจะเป็นงานที่ท้องถิ่นมีบทบาทได้สูง ในเรื่องนี้มีผู้เขียนไว้ว่า การตกลงกันซื้อ package ทำได้หลายลักษณะ เช่น ทำเป็นสัญญาที่ระบุผลการดำเนินงาน (performance contract) สัญญาให้บริการในบางเรื่อง (service contract) สัญญาที่อิงกับต้นทุนโรงพยาบาล (input contract) และตกลงให้บริการเหมา (block) หรือกำหนดเป็นจำนวนชิ้นงาน เป็นต้น ภาพที่ 8.4.1 การให้บริการทางการแพทย์ระดับต่างๆ ในปัจจุบัน ภาพที่ 8.4.2 ข้อเสนอปรับปรุง ผลกระทบต่อภาครัฐจากการเกิดขึ้นของโรงพยาบาลเอกชน รัฐบาลมีนโยบายให้ประเทศไทยเป็น medical hub และประชาสัมพันธ์ส่งเสริม medical tourism น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งเสริมโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ ผลกระทบเท่าที่ได้รับฟังมา คือ ก. ผลกระทบด้านบุคลากร  มีการดึงบุคลากรทางการแพทย์ไปจากโรงพยาบาลในภาครัฐ ซึ่งแทบจะเป็นผู้จ้างงานรายเดียวในอดีต ทำให้บุคลากรขาดแคลน ค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือนสูงขึ้นและยังมีกรณีที่บุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลเอกชนเป็นแพทย์บางเวลาจากโรงพยาบาลของรัฐที่มีชื่อเสียง การทำงานให้รัฐจึงอาจจะไม่เต็มที่ ข. ผลกระทบด้านการรักษาพยาบาล  ผู้ป่วยถูก “คัดกรอง” ไปโรงพยาบาลเอกชน โรงพยาบาลของรัฐได้ผู้ป่วยกรณีรักษายาก เรื้อรัง ใช้เวลาแพทย์มาก มีต้นทุนการรักษาแพง และเก็บเงินยากมาเพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนในการรักษาพยาบาลรายหัวสูงขึ้นและความแออัดที่มีมากขึ้นก็ผลักให้คนเดินไปเข้าโรงพยาบาลของเอกชนยิ่งขึ้น ค. ผลกระทบด้านสังคม ผู้ป่วยหลายประเทศในโลกเริ่มมาใช้บริการในโรงพยาบาลของรัฐที่ถูกกว่าโรงพยาบาลเอกชน เท่ากับเพิ่มผู้ป่วยให้มากขึ้นไปอีกทั้งในกทม. และต่างจังหวัด เป็นการใช้งบประมาณของรัฐเพื่ออุดหนุนต่างชาติในขณะที่บริการเพื่อผู้ป่วยไทยก็ยังไม่พอเพียง นโยบายต่างๆ ที่กระทบถึงแพทย์ในฐานะบุคคลและบุคลากร ก. โรงพยาบาลในสังกัดสำนักงานปลัดฯ อ่อนแอลงเพราะการขาดทุนและขาดการลงทุนปรับปรุงอย่างเป็นระบบ ทำให้สภาพแวดล้อมการทำงานไม่เป็นไปดังที่แพทย์ได้ร่ำเรียนมา ข. แพทย์ส่วนมากถูกบ่มมาให้ทำงานเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม แต่สภาพแวดล้อมตั้งแต่เริ่มทำงานตอกย้ำให้ทำงานเพื่อเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแพทย์จบใหม่ที่ถูกส่งไปเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลขนาดเล็กทั้งๆ ที่ประสบการณ์ยังไม่พร้อมรับงานดังกล่าว ค. นโยบายการจ่ายเงินของสปสช. ในด้านที่จ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่หรือหน่วยบริการตามชิ้นงานที่ทำเป็นการทำงานแลกเงิน บุคลากรทางการแพทย์ในพื้นที่เห็นว่า เงื่อนไขด้านการจ่ายเงินทำให้งานที่หน่วยบริการเห็นว่าจำเป็นกว่าสำหรับพื้นที่นั้นทำไม่ได้เท่าที่ควร ง. มีข้อพึงพิจารณาว่า ฝ่ายรัฐเป็นฝ่ายผลักให้แพทย์เดินเข้าโรงพยาบาลเอกชน ด้วยการจ้างงานในราคาต่ำแต่ความไม่มั่นคงสูง (คือไม่มีอัตรากำลังข้าราชการ) ด้วยหรือไม่ เพียงใด การศึกษาอย่างเป็นระบบด้วยข้อมูลและการวิเคราะห์เชิงสถาบันน่าจะให้คำตอบที่ชัดเจนขึ้น การทำงานในภาครัฐใช้คนจำนวนมากเกินไป ควรมีการปรับปรุงระบบงานและวิธีการทำงานให้ได้ผลผลิตต่อคน (productivity) สูงขึ้นและคนทำงานตรงตามวิชาชีพมากขึ้นด้วยการปรับกระบวนการทำงานให้กระชับขึ้น พัฒนาคนให้มีทักษะมากขึ้น และนำเครื่องมือเครื่องใช้เข้ามาช่วยลดแรงงาน ส่วนการทำงานที่ให้บุคลากรทางการแพทย์รับผิดชอบงานที่ไม่เกี่ยวกับการรักษาพยาบาลก็ต้องมีการปรับปรุงให้ลดลงเช่นเดียวกัน เพื่อให้แพทย์มีเวลาเหลือสำหรับงานรักษาพยาบาลมากขึ้น ในความรู้สึกทั่วไป การเป็นข้าราชการมีศักดิ์ศรี มีสวัสดิการและได้ทำประโยชน์ให้ประชาชน สิ่งเหล่านี้ตีราคาไม่ได้ชัดเจน แต่ก็มีค่าพอจะให้คนจำนวนหนึ่งเลือกที่จะรับราชการ แต่ “ระบบ” กลับผลักคนออกจากราชการ ด้วยการสร้างความไม่มีเสถียรภาพด้านการจ้างงาน ลักลั่น ขาดความเท่าเทียมหรือความเสมอภาคระหว่างคนที่ทำงานในหน้าที่เดียวกัน ในองค์กรหรือสถานประกอบการเดียวกันที่บางคนเป็นข้าราชการ บางคนเป็นลูกจ้าง เป็นระบบที่ไม่สร้างเส้นทางอาชีพให้ชัดเจน และยังหลอกตัวเองว่าจำนวนข้าราชการไม่เพิ่มมาก แต่แท้จริงจำนวนคนไปโป่งในการจ้างงานหมวดอื่นๆ จากการศึกษาข้อมูลโรงพยาบาลหลายแห่งพบว่า มีหลายกรณีที่อัตรากำลังกับตัวผู้ครองอัตรากำลังอยู่กันคนละแห่ง คำอธิบายหนึ่งคือกรอบอัตรากำลังไม่ตอบสนองต่อภารกิจและไม่อาจปรับเปลี่ยนได้ทันท่วงที ระบบจึงเป็นตัวสร้างความไม่ตรงไปตรงมาแฝงไว้ในระบบ การตั้ง ก.สธ. เรื่องอัตรากำลังและการจัดคนให้ตรงกับงานเป็นเรื่องที่ก.พ. และกระทรวงควรทำให้ถูกต้องและคล่องตัวขึ้น ถ้ามีข้อติดขัดควรพิจารณาตั้งคณะกรรมการด้านงานบุคคลขึ้นมาใหม่เพื่อดูแลเรื่องอัตรากำลังบุคลากรทางการแพทย์ทั้งระบบเป็นการเฉพาะ รวมทั้งกำหนดคุณสมบัติที่เหมาะสมกับตำแหน่งงานและกำหนดแนวทางการบริหารจัดการงานบุคคล และให้เขตมีหน้าที่จัดอัตรากำลังในเขต โดยส่วนกลางวัดผลงานของเขตที่ความเหมาะสมในการจัดคนลงอัตรากำลัง pricing policy ก. โรงพยาบาลเอกชนเข้าโครงการเหมาจ่ายรายหัวน้อยลง แต่เป็นผู้รับส่งต่อและลงทุนรับเคสพิเศษมากขึ้น น่าจะเป็นข้อบ่งชี้ตัวหนึ่งว่าสปสช. น่าจะจ่ายเงินแพงไปในระดับรายกรณีและถูกไปในระดับ OP  เรื่องนี้ควรหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นปรับปรุงการจ่ายเงินและวางแผนการซื้อบริการของสปสช. ด้วย เพราะ equity ด้านการจ่ายเงินผู้ให้บริการก็สำคัญไม่แพ้  equity ด้านการได้รับบริการ ข. อัตราการเก็บค่ารักษาพยาบาลล้าสมัยไม่พร้อมรับมือกับการที่ผู้ป่วยจากประเทศเพื่อนบ้านเดินเข้ามารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลของรัฐ เสมือนประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ซึ่งดึงงบประมาณและทรัพยากรอีกหลายประการไปจากการดูแลคนไทย …

ปรับรื้อ สธ และจัดโครงสร้างระบบสุขภาพใหม่

รายงานของคณะกรรมการพิจารณาปัญหาสถานะทางการเงินและปรับปรุงระบบการเงินและบัญชีของหน่วยบริการ สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เรื่องโรงพยาบาลสุดแดนสยามสามทิศ ที่ลงไปปี 2559 เป็นเบื้องหลังของการทำงาน  คราวนี้ขอนำบางส่วนของรายงานมาเสนอ   (บทที่ 8) สถานการณ์เชิงระบบ ความเห็นและข้อเสนอแนะ การสาธารณสุขของไทยเป็นเสาหลักที่แข็งแกร่งของประเทศ มีโรงพยาบาลครอบคลุมทั่วประเทศ มีบุคลากรที่มีความสามารถกระจายทั่วประเทศ แต่เวลานี้โรงพยาบาลจำนวนหลายร้อยโรงกำลังมีปัญหาด้านการเงินขาดมือ อันเป็นปัญหาเฉพาะหน้า และยังก่อให้เกิดคำถามว่า เงินขาดมือจริงหรือ ข้อมูลถูกต้องน่าเชื่อถือเพียงใด คณะกรรมการชุดนี้ได้ให้ข้อเสนอแนะเพื่อตอบคำถามเหล่านี้ใน 3 ระดับคือ ก. แก้ปัญหาการทำข้อมูลทางการเงินและบัญชีในปัจจุบัน ในระดับโรงพยาบาลและระดับกระทรวง ข.  แก้ไขปัจจัยแวดล้อมภายนอกที่ส่งผลมากระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมถึงการทำงานด้านการเงินและการบัญชีของโรงพยาบาลในระดับส่วนงาน เพื่อลดการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ค. พัฒนาระบบด้านการเงินและการบัญชีและข้อมูลอื่นๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วน เป็นระบบ ใช้งานได้ง่าย ความเห็นและข้อเสนอแนะ เรื่องเฉพาะหน้า ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทั้งกระทรวงสาธารณสุขและสปสช. ต่างก็รับรู้ปัญหาและออกมาตรการเยียวยาต่างๆ ในขณะเดียวกันก็มีข้อสงสัยเสมอว่าข้อมูลดีพอหรือไม่ ในครั้งนี้จึงขอเสนอว่า ก.          ควรยุติการหาข้อมูลที่ยังไม่ค่อยเป็นระบบมายืนยันว่ามีปัญหา แต่ควรลงมือปรับปรุงข้อมูลให้เป็นระบบ (ต้นทุนในการลงมือเก็บข้อมูลที่จะต้องทำเพิ่ม 1 รายงานทุกเดือน ถ้าเจ้าหน้าที่ใช้เวลาเพียง 1 วันต่อรายงาน สำหรับ 800 โรงพยาบาล จะเป็นเงินเกิน 10 ล้านบาทต่อรายงานต่อปี) ข.          การกู้ชีพกลุ่มโรงพยาบาลขาดทุนแบบฉุกเฉินไม่ได้แก้ที่ต้นตอของโรคขาดทุน ควรตัดสินใจแก้ปัญหาต่างๆ ที่ต้นเหตุ ในส่วนของเหตุที่พอเห็นได้และแก้ไขได้ง่ายในระดับโรงพยาบาล และระดับกระทรวงทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อลดปัญหาที่ผุดขึ้นมาทีละเรื่อง ปีต่อปี การปฏิรูประบบบริหาร เหตุเชิงระบบเป็นปัญหาระดับลึกต้องการการปฏิรูปความคิดและปรับรื้อการบริหารจัดการครั้งใหญ่อีกครั้ง นับแต่การปฏิรูปครั้งล่าสุดเมื่อ 15 ปีมาแล้ว ด้วยการแยกผู้ซื้อบริการกับผู้ให้บริการออกจากกัน ในระหว่างนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ทั้งภายในและภายนอกอีกหลายประการที่รุมเร้าเข้ามาและท้าทายการบริหารจัดการระบบสุขภาพของประเทศ ซึ่งทั้งกระทรวงฯ และสปสช. จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตนเองครั้งใหญ่ เพื่อเป้าหมายสำคัญ คือ ให้ประเทศคงความเป็นเลิศด้านงานสาธารณสุขต่อไปในอนาคต สี่ด้านของงานสุขภาพ กระแสความคิดของประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศ พยายามแบ่งงานด้านสุขภาพออกเป็น 4 ด้านหลักๆ คือ งานนโยบาย (policy maker) งานกำกับ (regulator) งานให้บริการประชาชน (provider) และงานทำหน้าที่ซื้อบริการแทนประชาชน (purchaser) โดยเปลี่ยนจากระบบ command and control ซึ่งรัฐรับหน้าที่เป็นผู้ให้การรักษาพยาบาลและดูแลประชาชน เป็นระบบ purchaser – provider เพื่อเป็นการคานกันระหว่างผู้ซื้อกับผู้ให้บริการ โดยหวังว่าการซื้ออย่างมีกลยุทธจะช่วยให้ได้บริการที่ดีและได้ระบบสุขภาพที่ดีที่สุดสำหรับประเทศ โดยแต่ละประเทศต่างก็มีแนวทางการดำเนินงานต่างๆ กันขึ้นอยู่กับระบบการเมืองการปกครองและความเป็นมาของการให้บริการทางการแพทย์ของประเทศนั้นๆ สี่เสาหลักสำหรับประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขในช่วงต่อไป ควรแยกงานการเป็นผู้วางนโยบาย เป็นผู้ให้บริการ และเป็นผู้กำกับให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และกำกับดูแล (monitor) ผู้ให้บริการอย่างสร้างสรรค์และเป็นระบบยิ่งขึ้น โดยปรับเพิ่ม/ลด ส่วนงานระดับกรมในกระทรวงให้รับกับบทบาทเหล่านี้อย่างชัดเจน และแต่ละกรมหรือสำนักงาน (ที่มีฐานะเทียบเท่ากรม) มีความรับผิดชอบ และสามารถบริหารจัดการงานอย่างค่อนข้างอิสระ ภายใต้นโยบาย การกำกับ และความรับผิดรับชอบ (accountable) ต่อปลัดกระทรวงและรัฐมนตรีตามลำดับ health authority งานด้านนโยบายสุขภาพของประเทศมีความสำคัญและมีขอบเขตกว้างขวาง เพราะครอบคลุมประชาชนทุกช่วงชีวิตและทุกระดับชั้นทางสังคม เพื่อสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพให้กับประชาชนในประเทศด้านการดูแลสุขภาพตนเองให้ปลอดโรคภัย การมีสภาพแวดล้อมทั้งเรื่องอาหาร น้ำ ยา อากาศ ฯลฯ ที่ปลอดภัยและการเข้าถึงบริการตามสถานภาพและระดับของสุขภาพ งานระดับนโยบายหรือเสนอนโยบายที่มากระทบสุขภาพของประเทศ ทั้งในเชิงรุกและตั้งรับให้ทันท่วงที นอกจากที่ทำอยู่แล้วในกระทรวง เช่น ก. นโยบายเพื่อส่งเสริมและสร้างความตระหนักรู้ดูแลตนเองให้กับประชาชนในระดับบุคคลและนโยบายต่างๆ ที่มุ่งผลเพื่อให้ประชาชนมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีสุขภาวะ เพื่อให้มีสุขภาพดี ข. นโยบายและมาตรการที่เป็นรูปธรรมเพื่อรับกับ aging society ค. นโยบายด้านการสร้างบุคลากรทางการแพทย์ ง. หาทางเลือกของนโยบายเพื่อลดภาระการเงินการคลังของประเทศในอนาคต เช่น การเพิ่มผู้ซื้อบริการให้มากกลุ่มขึ้น การให้โรงพยาบาลเปิดใหม่ของเอกชนต้องเป็นหน่วยบริการของสปสช. หรือไม่ สนับสนุนเอกชนในการเปิดบริการผู้สูงอายุที่น่าเชื่อถือ ฯลฯ เพื่อแบ่งเบาภาระการลงทุนในโรงพยาบาลของภาครัฐ ฯลฯ จ. กำหนดแนวทางด้านปริมาณ คุณภาพ บริการที่ให้ ในส่วนที่เกี่ยวกับสถานบริการ โรงพยาบาล และงานบริบาลภาครัฐและเอกชน ฉ.          มีส่วนมีเสียงในการให้ความเห็นเกี่ยวกับนโยบายของรัฐที่เพิ่มผู้ป่วยทั้งทางตรงและทางอ้อมให้กับระบบรักษาพยาบาลของไทย เช่น การส่งเสริมการท่องเที่ยว (medical tourism) การชูการรักษาพยาบาลว่าเป็นจุดเด่น (medical …

โรงพยาบาลสุดแดนสยามสามทิศ

ประชุมครั้งที่ ๑๓ (ครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๕๙) ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ผู้รับผิดชอบทั้ง ๓ โครงการ มานำเสนออย่างพร้อมเพรียงกัน   รวบความคิดเข้าด้วยกัน ตลอดเดือนกุมภาพันธ์ ข้าพเจ้าเอารายงานการประชุม เอกสารและหนังสือทั้งหมดที่ได้รับ และบันทึกที่จดไว้ตั้งแต่เริ่มงานออกมาเรียงเต็มชั้นในบ้าน แล้วเริ่มอ่านรอบอีกครั้งเพื่อปะติดปะต่อภาพทั้งหมด ทบทวนปัญหาทั้งหลายและเช็คสอบกับแผนยุทธศาสตร์ สธ. พ.ศ. 2559 ทั้งแบบย่อและแบบยาวพร้อมตัวชี้วัด  เพื่อดูว่า ที่จะเสนอนี้อยู่ในกรอบความฝันของ สธ หรือเปล่า หลังจากนั้นก็เริ่มเขียนแผนภาพ และแผนผังความคิดและสิ่งที่จะนำเสนอ อันเป็นปกติของการทำงานของข้าพเจ้า ที่เริ่มทำภาพก่อนจะใส่เนื้อหา   การเมืองมีทุกแห่ง จากเอกสารต่างๆ มีเรื่องน่าสนใจ (แต่นอกเรื่องที่กำลังศึกษาคราวนี้) หลายเรื่อง แต่เรื่องหนึ่งที่ก้ำกึ่ง ขอนำมาคิดดังๆ ไว้ตรงนี้ หลายคนคิดว่าการตั้งองค์กรอิสระจะทำให้ปลอดจาก “การเมือง” เอาเข้าจริง ไม่ปลอดค่ะ  ดูตัวอย่างจากข่าวที่แพลมๆ ออกมา ว่าด้วยการเมืองภายในในการสรรหา (แต่เกือบกลายเป็นการเลือกตั้ง) ผู้บริหารของมหาวิทยาลัยต่างๆ พูดในฐานะที่เคยเป็นประธานคณะกรรมการ และเคยเป็นผู้บริหารที่มาจากการสรรหา ในคณะกรรมการระดับประเทศแล้ว บอกได้ว่า องค์กรจะปลอดหรือไม่ปลอดจาก “การเมือง” ระดับประเทศ  อยู่ที่ว่าคณะกรรมการขององค์กรนั้นและผู้บริหารระดับสูงขององค์กร ยอมให้ “การเมือง” ระดับประเทศ เข้ามาแทรกไหม  และตนเองมาด้วยวิธีทางการเมืองที่ต้องตอบสนองความประสงค์ของ “การเมือง” หรือไม่ คำฟ้องและคำวินิจฉัยของศาล ที่สำนักงาน ป.ป.ช. จัดพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ เปิดแฟ้ม 10 คดีทุจริต บทเรียนราคาแพงของคนไทย พิมพ์ครั้งที่ ๒, ธันวาคม ๒๕๕๘ บอกว่า “คณะกรรมการ…ประกอบด้วย .. ประธาน  .. รองประธาน และกรรมการ แต่งตั้งโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง …จำนวนไม่เกิน ๙ คน จึงเห็นได้ว่าทุกตำแหน่งอยู่ในสถานะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสามารถให้คุณให้โทษได้ และนายกรัฐมนตรีหรือรัฐบาลเป็นผู้กำกับดูแลกระทรวงการคลังอีกชั้นหนึ่ง”  เป็นข้อสรุป (หน้า 163) ที่อนุกรรมการตรวจสอบสรุปความเห็น เพื่อเป็นข้อฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อ พ.ศ. 2550     ประชุมครั้งที่ ๑๔ ๑๙ กุมภาพันธ์  ๒๕๕๙ ผู้บริหารโครงการฯ นำเสนอข้อมูลรวมทั้งระบบโรงพยาบาล ที่ทำขึ้นมาจากงบการเงิน เพื่อดูรายได้ ค่าใช้จ่าย ฯลฯ ที่เป็นภาพรวมทั้งระบบ สรุปว่า เกือบ 1/3 ของโรงพยาบาล มีเงินสดไม่พอใช้ทำงานในระหว่างปี ฯลฯ ฯลฯ   ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ บริษัทฯ ส่งรายงานให้ สป.  และจัดอบรมเจ้าหน้าที่เรื่องการทำต้นทุน ฯลฯ ตามที่ตกลงกันไว้   สถาบันวิจัยฯ จัดประชุม และนำเสนอข้อเสนอแนะ ให้ผู้บริหารส่วนกลาง และกลุ่มโรงพยาบาลที่เคยได้ข้อมูลได้รับฟังและออกความเห็นอีกครั้ง