Month: July 2017

การสรรหาและแต่งตั้งผู้บริหารเป็นกระจกส่องคณะกรรมการ

ในช่วงกลางปี 2560 มีข่าวผู้อำนวยการไทยพีบีเอส  และเลขาธิการ กบข. ลาออก ผู้บริหารระดับนี้ล้วนผ่านการคัดเลือกหลายขั้นตอนกว่าจะผ่านด่านเข้ามาได้  แต่เมื่อถึงกับลาออกก็ชวนให้ตั้งคำถามถึงบทบาทและความรับผิดชอบของกรรมการสรรหาและกรรมการทั้งคณะ ประเด็นปัญหา คำลือ “คนที่เลือกมาเป็นคนของ….(ผู้มีอำนาจคนใดก็ตามที่ไม่ใช่กรรมการ)” ถ้าคนนั้นเก่งก็ถือว่าท่านผู้มีอำนาจช่วยคัดสรรให้  แต่ถ้าคุณคนนั้นไม่เก่งเอาเสียเลย ก็น่าฉงนว่าจริงหรือที่กรรมการที่ล้วนเป็นผู้มีเกียรติ มีศักดิ์ บางคนมีสถานะสูงสุดในส่วนราชการแต่ละแห่ง จะยอมทิ้งทุกอย่างที่ว่ามาเพื่อทำตาม “ใบสั่ง”  ซึ่งแม้คนสั่งจะลับไปแล้วตามวิถีการเมือง คนที่ตนทิ้งไว้ยังอาจจะให้คุณหรือโทษต่อองค์กรต่อไปอีกหลายปี  เรื่องนี้พอจะทำใจได้ถ้าฝ่ายการเมืองเป็นผู้แต่งตั้งในขั้นตอนสุดท้าย แต่เข้าใจยากในกรณีที่คณะกรรมการมีอำนาจเต็ม สำหรับในกรณีของ กบข. มีกรรมการผู้แทนสมาชิก ซึ่งก็ล้วนเป็นข้าราชการระดับสูงๆ  ถ้าคนที่มาผลงานไม่ดี สมาชิกไม่ส่งเสียงถึงกรรมการเลยหรือ ถ้าทุกคนไม่ใส่ใจกับสิทธิและหน้าที่ การจะเรียกร้องหา “ประชาธิปไตย” ในระดับประเทศก็ไม่มีน้ำหนัก ประเมินว่า  “ผลงานไม่เข้าตา (กรรมการและพนักงาน)”  จะหมายความว่า “กรรมการเลือกคนผิด” ก็ได้ “องค์กรไม่เหมาะกับคนที่เลือกมา” ก็ได้  กรรมการควรฉุกคิดและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และป้องกันไม่ให้ผิดซ้ำในการเลือกครั้งต่อๆ ไป  การป้องกันสำหรับอนาคตรวมถึง “กรรมการสรรหาควรจะได้รับรู้เป็นระยะๆ ว่า คนที่ได้แต่งตั้งนั้นเหมาะจริงดังที่มองไว้หรือไม่ …ทุกคนที่ทำหน้าที่สรรหาอย่างรับผิดชอบ คือคงจะดีใจถ้าเลือกแล้วผู้นั้นทำงานได้ดี กิจการไปโลด และรู้สึกไม่สบายใจถ้าผู้ที่เลือกไปไม่เป็นไปตามที่คาด” https://thaidialogue.wordpress.com/2012/07/02/ประเมิน-๐-๓๖๐-องศา-กับเปล/ วินิจฉัยว่า “มีปัญหาเรื่องการบริหารงาน” บางองค์กรอดทนจนหมดวาระผู้บริหารคนนั้นโดยยอมให้ผลงานขององค์กรด้อยถอยลง  บางองค์กรกรรมการมีมติเลิกจ้างกลางคัน หรือผู้บริหารถูกแรงกดดันต่างๆ จนลาออกไปก่อนครบวาระการจ้างงาน  เรื่องนี้สร้างคำถามให้ทบทวนว่า “กรรมการได้ช่วยกันทำอะไรเพื่อสนับสนุนผู้ที่ตนเลือกมาให้ทำงานได้” และคำถามเพื่อก้าวไปข้างหน้าว่า “กรรมการทำอะไรบ้างเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกในอนาคต” ทางออก อยู่ที่ผู้เลือก ตัวเลือก และวิธีการเลือก มีผู้ให้คำอธิบายว่า “การเลือกผู้บริหารองค์กรสาธารณะบางองค์กรเป็นเรื่องยากมาก เพราะตอนออกพระราชบัญญัติก็ตั้งกรรมการจากหลายกลุ่มเพื่อมาช่วยกันมองให้รอบด้านทั้งสังคม แต่เอาเข้าจริงกรรมการกลับพยายามคานกันเอง แบ่งเป็นกลุ่ม เป็นพวก ได้ใครเข้ามาบริหารก็ไปได้ยาก เพราะกลุ่มที่ไม่ยอมก็คอยค้านดะไปทุกเรื่อง”  สรุปว่ามีปัญหาทั้งผู้เลือก ตัวเลือกและวิธีการเลือก แต่ถ้ากรรมการ คน/ชุด ที่เลือกผู้บริหารรายนั้นนั่นแหละที่เล่นงานคนที่ตนเลือกเข้ามาด้วยมือ  แบบนี้ต้องถามแล้วละว่าเกิดอะไรขึ้น วิธีการเลือก ทางออกหนึ่งคือ กำหนดให้ผู้สมัครต้องได้คะแนนเสียง ๒/ ๓ ในทุกกลุ่ม (แปลว่าให้ลงคะแนนแบบแบ่งเขตและได้รับการยอมรับจากทุกกลุ่ม) ไม่ใช่ได้คะแนนเสียงข้างมากเฉยๆ แบบฉิวเฉียด เช่นได้คะแนนเกินครึ่งมาแค่คะแนนเดียว ซึ่งจะมีกลุ่มที่แพ้เสียงคอยตีรวนอยู่เสมอ เพราะกรรมการที่เข้าไปร่วมกันเป็นคณะ ไม่ได้ร่วมใจกันทำงานเป็นองค์คณะเพื่อความยั่งยืนและรุ่งเรืองขององค์กร (อาจจะเป็นเพราะต่างคนต่างมีวาระฝ่ายที่ตนเห็นว่าสำคัญและเกรงว่าอีกฝ่ายละเลย จึงคุมเชิงกัน) ตัวเลือก การสรรหา (nomination) แบบไทยๆ ในภาครัฐหรือกึ่งรัฐ มักเป็นการเลือกจากรายชื่อที่มีผู้เสนอตามสิทธิ หรือรอให้มีผู้สมัคร (selection) ไม่ได้ใช้วิธีเสาะแสวงหา (search)  การเสาะหาคนแล้วชวนเชิญมารับตำแหน่งน่าจะดีกว่าการรอให้คนมาสมัคร เรื่องนี้คิดได้แต่ไม่มีผู้กล้าทำ เกรงว่าตน “จะต้องรับผิดชอบ”  หรือเกรงว่าจะหาว่า “เป็นเด็กเส้น” ซึ่งเป็นลอจิคกลับข้างกับตอนที่ทำการร่วมกันทั้งคณะ ที่คำว่า “ต้องรับผิดชอบ” กับ “ใช้เส้น” ไม่ถูกนำมาเอ่ย  จึงวนกลับไปถึงผู้เลือกว่า ควรให้ออกเสียงเลือกแบบเปิดเผยเป็นรายบุคคล กรรมการแต่ละคนไม่สามารถซ่อนตนอยู่ในคำรวมของคำว่า “เสียงข้างมากของคณะกรรมการที่ลงคะแนนลับ” ได้     จาก ไทยพีบีเอส ถึง กบข. เวลานี้ ไทยพีบีเอสได้ผู้อำนวยการคนใหม่แล้ว ซึ่งก็คือรองผู้อำนวยการที่เคยร่วมงานกับผู้อำนวยการคนเดิมตั้งแต่ครั้งอยู่ สสส. และเป็นภรรยาของผู้อำนวยการ สสส.​คนปัจจุบัน กรณีของ ไทยพีบีเอส เกิดคำถามในสังคมตามมาอีกประเด็นหนึ่งว่าด้วย conflict of interest  https://thaidialogue.wordpress.com/2012/02/25/board-practice-2/ สามีภรรยาถ้าเก่งทั้งคู่ จะดีกว่าไหมถ้าจะไปแสดงฝีมือในองค์กรแบบอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกันโดยตรงเช่นสององค์กรนี้ (คือกรรมการชุดที่เลือกผู้อำนวยการไทยพีบีเอสคนก่อน รับรองว่าท่านมีคุณสมบัติมีประสบการณ์งานด้านสื่อจากการทำงานที่ สสส  จึงเลือกท่าน) บทความในหัวข้อนี้มีอีกหลายเรื่อง เช่น https://thaidialogue.wordpress.com/2012/10/31/ประโยชน์ที่ขัดกัน-conflict-of-interest/ https://thaidialogue.wordpress.com/2013/12/19/ผลประโยชน์ทับซ้อน/ https://thaidialogue.wordpress.com/2017/04/22/ไทยพีบีเอส-ควรเป็นอย่าง/ ส่วน กบข. กำลังอยู่ระหว่างพิจารณาเลือกเลขาธิการ สมาชิกก็คงจะติดตามได้ว่า คณะกรรมการรับการพลาดครั้งที่แล้วมาเป็นบทเรียนหรือไม่  และตามต่อไปว่า คณะกรรมการมองคนได้เก่งเพียงใดเมื่อเห็นผลงานในอนาคตของเขา ผู้บริหารของมหาวิทยาลัย รัฐวิสาหกิจ องค์กรอิสระ และองค์กรสาธารณะต่างๆ รวมทั้ง ไทยพีบีเอส และ กบข.ที่กล่าวถึงข้างต้น คือผู้นำองค์กรที่จะกำหนดบทบาทและภาพลักษณ์ขององค์กรนั้นๆ ต่อสังคมสืบไปในอนาคต  ผลของส่ิงที่ได้กระทำลงไปและแรงสะเทือนที่เขาก่อไว้ไม่ได้จบลงที่การลาออกหรือการหมดวาระ  สิ่งที่องค์กรต่างๆ เป็นอยู่ในวันนี้เป็นผลมาจากอดีตจนถึงเมื่อวานนี้ และจะเป็นไปอย่างไรต่อไปก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ได้กระทำไปแล้วในอดีตประกอบกับสิ่งที่คณะกรรมการกำลังทำอยู่ในปัจจุบันเพื่อเลือกผู้บริหารคนใหม่ให้กระทำการต่อไปในอนาคตผสมผสานกันไป  ผู้บริหารที่มาจากการสรรหาคือกระจกสะท้อนคณะกรรมการและประชาคมนั้นๆ นวพร …

B/E Debacle

ในระยะนี้มีข่าวว่าตั๋วแลกเงิน (bill of exchange หรือย่อว่า B/E ซึ่งเป็นตราสารแสดงความเป็นหนึ้อย่างหนึ่ง) ของบางบริษัทมีปัญหาชำระเงินไม่ได้ตามกำหนด จึงขอให้ผู้จัดการกองทุนคนหนึ่งช่วยเขียนเล่าเพื่อสร้างความเข้าใจ ตั๋วแลกเงินเร่ิมเป็นที่นิยมหลังจากที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนแห่งหนึ่งนำมาใช้เป็นช่องทางหารายได้ให้ผู้ถือหน่วย  มี บลจ. อีกหลายๆ แห่งทำตามและบุคคลธรรมดาก็ทำบ้าง คนเรามีความชำนาญในการวิเคราะห์ความเสี่ยงประเภทนี้ไม่เท่ากัน  โปรดติดตามอ่านประเด็นที่ควรคำนึงถึงจากคุณอรุณ ปาวา ได้เลยค่ะ บทความเป็นภาษาอังกฤษตามความถนัดของผู้เขียนไม่น่าจะเป็นอุปสรรคต่อการทำความเข้าใจเพื่อป้องกันเงินออมที่แต่ละคนมีนะคะ B/E Debacle Eventually, No Risky Deed Goes Unpunished Recently, a spate of negative news hit the headlines of the Thai financial press as B/E issuers defaulted on their payments to investors. For now, let’s set aside the raucous reality and examine why things are the way they are and what questions investors should ask to spot potential problems in order to avoid them. What exactly is a bill of exchange (B/E)?             Similar to a short-term loan, a bill of exchange (B/E) is a short-term debt instrument issued by businesses (Debtors) to investors (Creditors) with a maturity period of up to 270 days. Bill of exchange carries a specified interest rate, which is the rate of return investors receive from lending through B/E. B/E issuers are legally obligated to pay off principal capital and interest in full to investors at maturity. A B/E could be issued with a credit rating known as (Rated B/E) or without …

ผ้าทอ ณ บ้านคำปุน อุบลราชธานี

ประณีตศิลป์ที่บ้านคำปุน ผ้าไหมคำปุนเป็นผ้าไหมเลื่องลือชื่อด้านความวิจิตรบรรจง จากครอบครัวที่ทำผ้าสืบทอดกันมาสี่ชั่วคนแล้ว สิ่งใดประณีตสิ่งนั้นแพง แพงเพราะฝีมือและแพงเพราะเวลาที่ใช้ต่อผ้า ๑ ผืน  บางผืนใช้เวลาทอทั้งปี ช่างทอก็ต้องกินต้องใช้เงินเพื่อการเลี้ยงตนเหมือนกัน บ้านคำปุนอยู่อำเภอวารินชำราบ อุบลราชธานี เปิดบ้านและโรงทอให้ชาวเมืองได้เข้าชมเพียงปีละครั้งในช่วงเทศกาลงานบุญเข้าพรรษาเพียง ๓ วัน ควรเตรียมเวลา ซื้อตั๋ว จองโรงแรมล่วงหน้านานๆเพื่อไม่ให้พลาด คราวนี้ได้เห็นกลุ่มใหญ่มาจากภูเก็ต ทุกคนแต่งชุดสตรีเพอรานากันอย่างพร้อมเพรียงกันมาอวดชาวอุบล บริเวณแบ่งเป็น ๒ ส่วน ส่วนของร้านกาแฟเพิ่งเปิดวันที่ ๘ กรกฎาคมนี้เอง  คอกาแฟบอกว่า กาแฟรสดี เค้กอร่อย ทุกอย่างไม่หวานจัดจนตกใจ แถมมีคุกกี้และของที่ระลึกเช่นเสื้อยืดและร่ม ให้ซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้าน ส่วนของบ้านและโรงทอ เปิดให้ชมงานทอและของสะสม ชื่นชมสปิริตของการร่วมด้วยช่วยกัน “พนักงาน” ขายตั๋วหน้างาน มาจากชมรมผ้าลับแล จ. อุตรดิตถ์ “พนักงาน” รับออเดอร์กาแฟและขนม และ “พนักงานขายของที่ระลึก” เป็นเพื่อนของลูกๆ เจ้าของบ้าน ต่างคนต่างมีอาชีพมีการงานเป็นหลักเป็นฐาน แต่ถึงเทศกาลก็บินมาช่วยงานทุกปีไม่ขาด  นับว่างานนี้เดินได้ด้วยเครือข่ายญาติมิตร และคนรู้จักหรือคนคอเดียวกันในเรื่องอนุรักษ์ผ้าที่เคียงขนานไปกับการสร้างงานรุ่นใหม่ ทันสมัย งานของคำปุนเป็นหัตถศิลป์ที่ท้าพิสูจน์ได้ระดับโลก เคยได้รางวัลจากการประกวดระดับนานาชาติมาแล้ว เป็นการสร้างชื่อให้กับประเทศโดยลำพังเอกชนคนทำงาน และต่อไปก็น่าจะมีงานของคนหนุ่มสาวไฟแรงคนอื่นๆ ตามมา หลังจากที่รุ่นพี่กรุยทางให้แล้ว บริเวณงานรื่นตาด้วยแมกไม้ และสนามหญ้าซึ่งให้เป็นพื้นที่สำหรับการแสดง สร้างบรรยากาศที่รื่นหู  มีสถานีให้หัดทำงานฝีมือ เช่น พับใบเตยเป็นดอกกุหลาบ นักท่องเที่ยวลองทำจึงรู้ว่ามือเล็กๆ ของเราไม่คล่องแคล่วเท่ามืออวบอูมของหนุ่มร่างใหญ่ที่รับหน้าที่เป็นผู้สอน ดูช่างทอทำงานทุกขั้นตอน ทั้งกรอไหม ตีเกลียว ทอ ปักบนกี่ จก ยก ล้วง ฯลฯ  ร้อนนักก็พักดื่มน้ำตะไคร้ น้ำมะตูมเย็นๆ ให้ชื่นใจ แกล้มกล้วยฉาบ (ไม่หวาน) และมะพร้าวแก้วเนื้อนุ่มเส้นยาวๆ สีอ่อนโยน คารวะคุณแม่ผู้เป็นประธานของบ้าน แล้วก็เดินขึ้นหอพระ ดูผ้ารุ่นโบราณเกรดพิพิธภัณฑ์ อิ่มตา อิ่มใจ พร้อมข้อมูลเปี่ยมสมองจากเจ้าของและผู้ร่วมงาน ทำให้ภูมิใจในฝีมือช่างไทย และยกย่องความตั้งใจของผู้สืบสานประเพณีทอผ้าชั้นสูงแห่งอุบลราชธานี ที่ทำตลอดทุกขั้นตอนของงานศิลปหัตถกรรมคือ คัดวัตถุดิบ แล้วพัฒนาทั้งลาย สี และเทคนิคการทอ  ให้เป็นงาน craft ที่มีค่า มีราคา (ไม่ใช่งานทำมือเพราะค่าแรงถูก) แถมผู้สร้างงานยังมีน้ำใจงาม ถ่ายทอดความรู้เพื่อยกฝีมืองานช่างในพื้นที่อีกด้วย เดินออกมาจากงานพร้อมกับความรู้สึกว่า นี่ไง อิทธิบาท ๔ ของจริงที่มีชีวิต ยกเป็นตัวอย่างได้ เพราะทุกคนที่ได้พบมีครบทั้ง ฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา ขอให้คำปุนคงอยู่ตลอดไป และเป็นแบบอย่างงานสร้างสรรค์ ให้กับผู้รักงานฝีมือที่เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ทุกภาคของประเทศไทย  หวังว่าผู้เขียนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทยแลนด์ 4.0 จะมองเห็นสิ่งที่มาก่อนและดำรงอยู่นี้ด้วย ไม่ใช่พาประเทศโหนติดกระแสไซเบอร์ไปอย่างไปเหลียวข้างมามองความเป็นไทยที่มีทั้ง culture and nature เช่นนี้ เห็นพลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด รักษาการอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ในงาน ในฐานะที่่ท่านเป็นผู้ใกล้ชิดผู้กำหนดนโยบายของประเทศ หวังว่าท่านคงมองทะลุอย่างเข้าใจ และอยากให้ท่านได้แวะบ้านปะอาวเพื่อดูหัตถกรรมการทำทองเหลืองด้วย เผื่อว่าท่านจะแก้โจทย์เพื่อพัฒนาได้ creative economy หรือเศรษฐกิจสร้างสรรค์แบบที่เป็นเอกลักษณ์จำเพาะของไทยในมิติสากล และไทยแลนด์ 4.0 จะไปโลดถ้าเราไม่ทิ้งคำว่า “ไทย”  ถ้าเราเลี้ยงช่างฝีมือพื้นบ้าน และถ้าผู้มีความรู้ในศาสตร์ต่างๆ สนใจต่อยอดงานศิลป์ที่เป็นรากฐานของแผ่นดินนี้ นวพร เรืองสกุล 11 กรกฎาคม 2560  ผ้าจากคำปุนเหล่านี้ เป็นของซื้อมานานแล้ว คราวนี้รีบร้อนภาพคงไม่สวย แต่ก็เพื่อให้เห็นงานฝีมือผ้าแบบ “ธรรมดา” ที่ไม่ธรรมดาของคำปุน ผ้างามกว่านี้ขอเชิญชมได้ที่ร้านคำปุนที่ใน อ. เมือง อุบลราชธานี

เทียนพรรษา อุบลราชธานี

9 กรกฎาคม 2560 เป็นวันเข้าพรรษา งานแห่เทียนพรรษาเป็นงานใหญ่ประจำจังหวัดอุบลราชธานี  ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวขนาดว่ามีอัฒจันทร์ให้นั่งชมสำหรับคนที่อยากดูของจริงมากกว่าการถ่ายทอดสดหรือดูแห้งผ่านยูทูบ งานนี้ทำให้เงินจากการท่องเที่ยวเดินสะพัดในจังหวัด  ในอีกด้านหนึ่งงานนี้ใช้เงินอย่างเดียวเนรมิตไม่ได้ เป็นชาวบ้าน วัด โรงเรียน ที่ร่วมใจกันเป็นสถานที่ ฝีมือ กำลังคน ที่ทำให้ต้นเทียนอันงดงามนับสิบๆ ต้นสำเร็จได้ เทียนที่ใช้แห่ปีที่แล้วถ่ายเมื่อมีนาคมปีนี้ กับที่นำมาสร้างใหม่สำหรับพรรษานี้ วัดสระบัว   เจตนาของการไปอุบลราชธานีในครั้งนี้คือไปดูเขาทำเทียนพรรษา แต่ได้มามากกว่านั้น เพราะ * ได้มีโอกาสหล่อเทียนในวัดเล็กนอกเมือง และได้ร่วมในกระบวนการแต่งต้นเทียนทั้งเทียนเล็กในหมู่บ้าน และเทียนใหญ่ที่จะแห่โชว์    นายช่างบอกว่า “ติดไม่สวยไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมแต่งเติม”  วัดสระประสานสุข   คลึงเทียนขี้ผึ้งให้บางจนแสงส่องทะลุได้ นำมาตัดด้วยทองเหลืองปลายแหลมแบน จิ้มไปในเนื้อมะพร้าวเป็นครั้งคราวเพื่อให้ปลายทองเหลืองติดน้ำมัน จะได้ตัดลายได้ง่ายขึ้น วัดป่าใหญ่   นายช่างคนนี้บอกว่า  “ทุกชิ้นที่ทำผมใช้หมดครับ ไม่มีทิ้ง”  ถ้าอยู่ดูแห่ในวันจริงคงอดนึกครึ้มใจไม่ได้ว่า เรามีส่วนช่วยนะ แม้จะเป็นลายกนกเล็กๆ เพียง ๑ -๒ ลาย แต่ลายเล็กๆ ทั้งหมดรวมกันไม่ใช่หรือสร้างภาพใหญ่ * ได้เห็นความร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจของผู้คน ช่างประติมากรรมลงมือแกะ นักเรียนหมุนเวียนกันมาช่วยพิมพ์ขี้ผึ้ง ตัดขี้ผึ้งตามแบบพิมพ์ และลงมือช่วยประดับต้นเทียนโดยมีช่างใหญ่เป็นผู้กำกับ  นับเป็นการถ่ายทอดงานฝีมือจากรุ่นสู่รุ่น และเป็นการทำด้วยใจ ไม่ได้คะแนนสอบ หรือเบี้ยเลี้ยงเงินรางวัล * นักเรียนอีกส่วนหนึ่งกำลังแกะแผ่นกระดานขี้ผึ้งเป็นภาพตามที่ได้รับโจทย์มา โจทย์เป็นชาติต่างๆ ในทศชาติชาดก หรือมหาชาติกัณฑ์ต่างๆ  ช่วยเสริมการเรียนรู้พระพุทธศาสนาและงานฝีมือ แถมจินตนาการ * ทั้งเมืองออกมาร่วมงานประเพณีครั้งนี้  ในหมู่บ้านเจ้าหน้าที่ของ อบต. และผู้คนทั้งเด็กและผู้ใหญ่กระตือรือล้นตระเตรียมงาน และยินดีต้อนรับให้ความรู้กับผู้มาเยือนด้วยน้ำใจใสงามแบบไทยๆ ที่ใครมาถึงเรือนชานก็ต้อนรับ ส่วนในเมืองนักเรียนนักศึกษาเดินกันขวักไขว่ สาละวนกับการเตรียมงาน นักดนตรีซ้อมเพลง ผู้รำซ้อมกันกลางถนน พอฝนตกบางกลุ่มแยกย้ายกันกลับ อีกบางคนมาซ้อมในที่มุงบังของเวทีข้างทาง นักเรียน รด. ยืนยามเฝ้าเทียนพระราชทาน  ดูเหมือนไม่มีใครรู้สึกว่าถูกบังคับให้มา เป็นอารมณ์และบรรยากาศที่น่าถนอมไว้ตลอดไป   ใน ๓ วันที่กลางเมืองอุบลราชธานี พวกเราท่ีไปอุบลฯ ก่อนเข้าพรรษาคราวนี้ได้ซึมซับบรรยากาศนี้ไว้เต็มที่ เผื่อไว้สำหรับวันเวลาที่สิ่งเหล่านี้อาจจะเลือนหายไป มีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมขอฝากไปกับลมฟ้าอากาศ ณ ที่นี้ด้วยว่า ๑. นักเรียนน่าจะได้พัฒนาฝีมือเพื่อการประกวดด้วย เช่น มีการสอนหรือให้ทำเวิร์คช็อปก่อนประกวด กระทั่งผู้ใหญ่ ถ้ามีการสอนทฤษฎีว่าด้วยการวางองค์ประกอบ ฯลฯ ให้บ้าง งานอาจจะหลากหลายขึ้นในแง่ composition และแหวกกรอบ เปิดจินตนาการได้มากกว่านี้ถ้ามีสุนทรียสนทนาระหว่างกัน  และเปิดประเภทการประกวดให้หลากหลายขึ้น เพื่อให้ผู้ส่งผลงานคิดทะลุกรอบได้ (อย่างคนมีพื้นฐานแน่นพอประมาณ) ก็จะสมกับที่จะเป็นประเทศไทยเมืองสร้างสรรค์    ๒.  float ที่เข้าประกวดยิ่งใหญ่อลังการ แต่จะทำอย่างไรดีให้ float ขนาดเล็กๆ รูปทรงแปลกตาและแตกต่าง  หรือวัดเล็กชุมชนเล็กที่เงินไม่หนาได้มีโอกาสแสดงตัวด้วย (แต่ต้องระวังไม่ให้กลายเป็นดูดงานฝีมือเข้า อ เมืองหมด และการแห่รอบหมู่บ้านในชุมชนเองหาย สื่ออิเล็กทรอนิกส์เข้ามามีบทบาทตรงนี้ได้ไหม เพื่อรักษาจิตวิญญาณในชุมชนเอาไว้)   ภาพรวมของงานจะวิจิตรยิ่งขึ้น ผู้คนได้เห็นว่างานนี้ไม่ใช่ของคนเมือง วัดใหญ่ และอำเภอเมืองเท่านั้น ๓. ส่วนราชการน่าจะเปิดมุมใหม่ของการประชาสัมพันธ์ เพื่อดึงนักท่องเที่ยวมาเป็นผู้ร่วมงานบุญด้วย (ทั้งการแต่งกายแบบไทย การเข้าร่วมทำเทียนในขั้นตอนต่างๆ ร่วมกับชาวบ้านและชาวเมืองที่ต่างก็แวะเวียนเข้ามาช่วยงาน)  ทำให้งานท่องเที่ยวยืดออกไปได้เกือบ ๑ เดือนก่อนวันเข้าพรรษา และกระจายออกไปหลายอำเภอและตำบล  แทนการประชาสัมพันธ์ให้เป็นผู้ชมงานที่สำเร็จรูปแล้วซึ่งเกิดขึ้นเพียงวันเดียวเท่านั้นในอำเภอเมือง  ขอชวนกันตรงนี้เลยค่ะว่า ให้วางแผนการท่องเที่ยวแบบเป็นผู้ร่วมงานบุญ ไปตามวัดต่างๆ  ไปช่วยหล่อเทียน ไปช่วยตัดขี้ผึ้งที่พิมพ์ออกมาแล้วสำหรับประดับต้นเทียนประเภทติดพิมพ์ ฯลฯ เท่าที่ช่วยกันได้  ทุกท่านจะได้สัมผัสวิถีชีวิตที่รังสรรค์เทียนขึ้นมาก่อนจะนำออกมาแห่ในวันสุดท้าย  แทนการไปแออัดรอชมขบวนแห่งริมถนนเพียงอย่างเดียว ไหนๆ  participative tourism ก็กำลังเริ่มเป็นเทรนด์ เราไม่ต้องรอหรอกค่ะ สิ่งนี้อยู่ในวิถีชีวิตไทยๆ ของเราอยู่แล้ว จดจองเวลาช่วงก่อนเทศกาลเข้าพรรษาปีหน้าไว้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ดีไหมคะ นวพร เรืองสกุล  วันเข้าพรรษา 9 กรกฎาคม 2560

สาเหตุที่โรงพยาบาลของรัฐ (เฉพาะในสังกัด สำนักงานปลัด) ขาดทุน

ปวดหัวอาจจะมาจากหลายสาเหตุ ต้องพิเคราะห์ความเป็นไปได้เป็นเรื่องๆ ไป ไม่มียาวิเศษขนานเดียวแก้โรคปวดหัวจากทุกสาเหตุ  เรื่องโรงพยาบาลขาดทุนก็ทำนองเดียวกัน คราวที่แล้วนำข้อเสนอปฏิรูประดับระบบการให้บริการสุขภาพมาเสนอแล้ว คราวนี้ขอกลับไปที่สาเหตุของปัญหาในโรงพยาบาลแยกตามลักษณะของปัญหา  และทางแก้ปัญหาเฉพาะกลุ่ม   สาเหตุของปัญหาทางการเงินของหน่วยบริการและข้อเสนอแนะทางแก้ปัญหา  ปัญหาด้านการเงินที่เกิดกับหน่วยบริการอันมีที่มาจากส่วนกลางหรือภาพรวมมี 3 ด้านคือ ก. เงินจำนวนรวมไม่พอ   ข. การจัดสรรไม่เหมาะสม และ ค. การบริหารจัดการไม่ดี ข้อมูลจากการศึกษาของผู้บริหารจัดการโครงการจากงบทดลองโดยรวม มีข้อบ่งชี้ว่าจำนวนเงินโดยรวมเริ่มไม่พอ และถ้าหากว่ายังหาข้อสรุปไปในทางอื่นไม่ได้ สปสช. ควรหยุดการเพิ่มสิทธิประโยชน์ไว้ก่อน แต่เรื่องนี้อยู่นอกขอบเขตการทำงานของคณะกรรมการฯ ส่วนอีกสองด้านที่เหลือเป็นเนื้อหาของบทนี้ ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทำให้รายได้ไม่พอกับรายจ่าย (ปัญหาของโรงพยาบาลไม่ใช่ปัญหาของบุคคล) ที่ต้องการการแก้ไขระดับกระทรวงหรือกระทรวงร่วมกับสปสช.  ข้อเสนอแนะที่ 1 ปัญหาเกิดมาจน แก้ปัญหาด้วยการจ่ายแบบขั้นบันไดเพื่อให้ครอบคลุมต้นทุนโรงพยาบาล โรงพยาบาลขนาดเล็กบางแห่งจำเป็นต้องให้เกิดมาเพื่อให้บริการประชาชนในพื้นที่ห่างไกลหรือพื้นที่ที่ประชากรเบาบาง ตามนโยบายของรัฐที่จะให้มีโรงพยาบาลชุมชนในทุกอำเภอของประเทศไทย  โรงพยาบาลแบบนี้ไม่ได้ economy of scale ในการดำเนินการ จึงมีค่าใช้จ่ายจำนวนหนึ่งเป็นต้นทุนคงที่ที่สูงกว่ารายได้ที่หาได้  ดังนั้น การขาดทุนจากการดำเนินงานเป็นปัญหาของตัวโรงพยาบาลนั้นเองและนานไปก็กลายเป็นปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัว  เรื่องนี้ไม่อาจเยียวยาอาการร่อแร่ได้ด้วยการหยอดน้ำเกลือ แบบให้เงินไปทีละครั้งเพื่อพยุงไว้ตามแต่จะมีเสียงเรียกร้อง แต่ควรแก้ไขให้ฟื้นได้จริง โดยดำเนินการจาก 2 ด้านคือ ก. กระทรวงสาธารณสุขประเมินต้นทุนคงที่ที่จำเป็น เพื่อให้ดำรงการให้บริการขั้นต่ำที่หน่วยบริการหนึ่งพึงมีในระดับคุณภาพที่กำหนดเอาไว้ให้ได้ โดยไม่ใช้จำนวนเตียงเป็นบรรทัดฐานเพียงปัจจัยเดียว เพราะอัตราการครองเตียงของหน่วยบริการขนาดเล็กก็ค่อนข้างต่ำ ข. สปสช. เปลี่ยนการเหมาจ่ายรายหัว โดยคำนึงถึงจำนวนประชากรด้วยและจ่ายเงินรายหัวเพิ่มให้โรงพยาบาลขนาดเล็กเพื่อสะท้อนความพยายามจะช่วยให้ประชาชนได้เข้าถึงบริการได้ในพื้นที่ได้และสะท้อนความเป็นจริงที่ว่า โรงพยาบาลชุมชนส่วนมาก ให้บริการประชากรในระบบสปสช. เกือบทั้งหมด ตามหลักเศรษฐศาสตร์ เป็นการจ่ายเพื่อให้คุ้มกับค่ามีบริการในพื้นที่ที่ไม่คุ้มกับการบริการตามปกติ 704. ข้อเสนอแนะมี 2 แบบ คือ เหมาจ่ายแบบกำหนดจำนวนประชากร UC ขั้นต่ำที่ 30,000 คน กับเหมาจ่ายแบบขั้นบันไดเพื่อให้เป็นธรรมมากขึ้นกับโรงพยาบาลที่มีประชากร UC ต่างกัน และสอดคล้องกับหลักการประกันภัยด้วย เช่น จ่ายเป็น 2 ช่วง ตัดช่วงแรกที่ 15,000 คน กับจ่ายเป็น 3 ช่วง ตัดทีละ 10,000 คน การตัด 3 ช่วง จะเป็นธรรมมากกว่า 705.  แสดงการเหมาจ่ายรายหัวแบบขั้นบันได โดยเหมารวมงบ OP และ IP แบบง่าย ที่โรงพยาบาลขนาดเล็กให้บริการได้ ภาพที่ 7.1 ตัวอย่างจำนวนเงินที่โรงพยาบาลขนาดเล็กได้รับถ้าจ่ายเงิน UC แบบขั้นบันได 706. การจ่ายเงินให้พอกับความจำเป็นของโรงพยาบาลจะลดภาระและความกังวลของแพทย์ผู้อำนวยการด้านการเงิน ทำให้แพทย์สามารถใส่ใจกับการให้บริการด้านสุขภาพได้ดียิ่งขึ้น 707. โรงพยาบาลที่ประชากรน้อยและมีปัญหาเพิ่มในด้าน geographical location ทำให้ transportation cost และ transaction cost สูง หากจำเป็นต้องจัดสรรเงินเพิ่ม ควรพิจารณาเพิ่มเติมด้วยหลักการอื่น หลังจากจัดสรรเงินตามจำนวนประชากรในสิทธิ UC แล้ว 708. สิ่งที่พึงแก้ไขเพิ่มเติม เมื่อแก้ไขปัญหารายปีได้แล้ว จำเป็นต้องพิจารณาดำเนินการสะสางหนี้เก่าที่พอกพูนอยู่อย่างเป็นขั้นตอนต่อไป  ข้อเสนอแนะที่ 2 ปัญหาสายน้ำเปลี่ยนทาง แก้ปัญหาด้วยทีมพัฒนาธุรกิจ โรงพยาบาลที่ over capacity คือ มีประชากรทุกสิทธิน้อย แต่มีอาคาร อุปกรณ์ ฯลฯ แล้ว ซึ่งอาจเกิดได้แม้ในปัจจุบัน เช่น ประชากรจำนวนหนึ่งย้ายสิทธิไปตามการแบ่งอำเภอ แบ่งจังหวัด ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของกระทรวงสาธารณสุข ควรจัดทีมพัฒนาธุรกิจศึกษาเป็นรายโรงพยาบาล และกำหนดแผนร่วมกันระหว่างกระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาล และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับปรุงบางส่วนเป็นสถานพักฟื้น ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ หรือโรงพยาบาลเฉพาะทาง ฯลฯ ตามศักยภาพของพื้นที่และความเป็นไปได้ในด้านความยั่งยืน ในเรื่องนี้ควรจัดจ้างผู้มีความรู้ความชำนาญและมีผลงานด้านการทำ turn around ธุรกิจ หรือพัฒนาธุรกิจมาก่อนแล้ว เป็นผู้ศึกษาและนำเสนอจนถึงขั้นลงมือดำเนินการ เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว จึงเป็นเรื่องที่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลและส่วนงานในกระทรวงร่วมกันทำให้เกิดต่อไป ข้อเสนอแนะที่ 3 ปัญหาแย่งผู้ป่วยจากการแยก ขยาย และยกระดับโรงพยาบาล แก้ปัญหาด้วยการวางแผนการลงทุนเป็นเครือข่าย การที่โรงพยาบาลแต่ละแห่งลงทุนขยายงาน ไม่ว่าจะเป็นไปเพื่อลดความแออัดในโรงพยาบาลอื่นหรือหวังว่าจะได้รายได้เพิ่มจากค่ารักษาพยาบาล ก็เป็นการแบ่งผู้ป่วยสิทธิต่างๆ มาจากโรงพยาบาลที่มีอยู่แล้ว …