เรื่องที่อยากรู้เกี่ยวกับสุขภาพ
นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่รู้ว่า ปัญหาสุขภาพในพื้นที่เกิดจากการใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืช คนทำงานป่วยเป็นโรค บางคนตายคาไร่ และผู้บริโภคก็ป่วยด้วย จึงหาทางแก้ปัญหาที่ต้นตอในระดับพื้นที่ โดยสนับสนุนการปลูกและเปิดช่องทางการขายข้าวและพืชผักต่างๆ ที่เป็นเกษตรอินทรีย์ แทนสินค้าเกษตรที่แถมยาฆ่าแมลงและสารเคมีต่างๆ ให้กับผู้บริโภค เรื่องนี้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสามารถทำงานร่วมกับ องค์การบริหารส่วนท้องถ่ิน โรงพยาบาลสุขภาพระดับตำบล อาสาสมัครสาธารณสุข คนจำนวนมากห่วงสุขภาพตนเอง และพยายามดูแลตนเองอยู่่ สังเกตได้จากข่าวสุขภาพใน line ติดอันดับพอๆ กับข่าวลือ (ไม่นับ good morning และดอกไม้สวยๆ ที่ copy แล้ว forward) แต่ความรู้ในไลน์เชื่อได้เพียงไหน องค์กรที่มีความรู้ด้านสุขภาพออกมาพูดเองน่าจะได้น้ำหนักมากกว่า การให้ความรู้คือการสร้างพลังให้กับประชาชน ไม่ว่าประชาชนผู้นั้นจะเป็นผู้ผลิตหรือผู้บริโภค และเป็นการตัดข้อแก้ตัวว่า “ไม่รู้” ของผู้ผลิตและผู้จำหน่ายลงไปได้ รวมทั้งฝ่ายผู้บริโภคและองค์กรต่างๆ ควรออกมาช่วยกันกดดัน เรียกร้องให้ผู้ค้ารายใหญ่ต้องรับผิดชอบกับสินค้าที่วางขายในสถานประกอบการของตนว่าตรงตามคุณภาพ เช่น บอกว่า ปลอดสารเคมี ก็ต้องมีมาตรการดูแลให้ปลอดสารเคมีจริง ระบุว่าออร์แกนิก ก็ต้องออร์แกนิกจริง เป็นต้น ผู้ค้าบางรายเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ด้วย การสร้างความน่าเชื่อถือยิ่งเป็นเรื่องจำเป็น และเป็นความรับผิดชอบต่อสังคมโดยตรง เพราะการค้าขายที่เป็นธรรมคือการค้าขายที่ไม่เบียดเบียนผู้ผลิตและผู้บริโภค งานประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้ต่างๆ ถ้าท้องถิ่นหรือราชการส่วนภูมิภาคคิดขึ้นมาได้ ก็น่าจะนำไปเผยแพร่ต่อระดับชาติได้ งานให้ความรู้บางเรื่อง ถ้าส่วนกลางสื่อสารตรงถึงผู้บริโภคและผู้ผลิตน่าจะได้ผลมากกว่า โดยสร้างอิทธิพลทางความคิดผ่านการส่งต่อ ช่วยให้การสำทับย้ำเตือนโดยผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ทำง่ายขึ้น หลายเรื่อง ถ้าทำให้เห็นจริงจังเป็นรูปธรรมจะช่วยสร้างความเข้าใจได้ดีขึ้น เช่น เบาหวาน เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายทั้งระยะสั้นและระยะยาว คนหัวดื้อก็อาจจะเปลี่ยนใจกลายเป็นคนหัวอ่อนดูแลตนเอง เพราะเข้าใจได้ด้วยตนเองแล้วว่า การที่หมอห้ามกินโน่นห้ามกินนี่ไม่ใช่เพื่อหมอ แต่เพื่อตัวผู้ป่วยเอง การใช้ยาไม่ถูกต้อง ใช้ยามากไป – น้อยไป ใช้บ่อยไป ใช้ไม่ครบชุด อาจมีผลเสียต่อระบบในร่างกายอย่างไรบ้าง ก็น่ารู้ อาหารปลอดภัย อาหารปนเปื้อน เกิดอะไรขึ้นภายในร่างกายบ้าง งานให้ความรู้ทางสื่อตอนนี้มักใช้วิธีสัมภาษณ์ที่ชวนให้หมุนไปหาทีวีช่องอื่น ควรเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่ง งานด้านสุขภาพเกี่ยวพันถึงกรมแรงงาน กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม ฯลฯ เพราะเกี่ยวกับคน ถ้ากระทรวงสาธารณสุขไม่เป็นฝ่ายรุกและป้องกัน ก็จะต้องเป็นฝ่ายรับที่ปลายทาง เมื่อคนดีกลายเป็นคนป่วย เงินทำเร่ื่องให้ความรู้ระดับประเทศมีอยู่มากมายในองค์กรต่างๆ เนื้อหาและกลุ่มเป้าหมายมีอยู่ที่โรงพยาบาล กรมอนามัย มหาวิทยาลัย ฯลฯ ขอเพียงกระทรวงสาธารณสุขเป็นคนเคาะ จัดระบบ และริเริ่มงานนี้ระดับชาติ เพื่อสู้กับข่าวสารสุขภาพที่ไลน์บอก (อ้างหมอ) เพื่อเสริมข้อมูล และสร้างความสะดวกให้กับงานในพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนทุกคนรับรู้ว่า สุขภาพเป็นเรื่องส่วนตัว ที่ตนต้องดูแล เพื่อให้ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายรับรู้ว่า สิ่งใดเป็นอันตราย ไม่ควรทำ หรือห้ามทำ หรือเป็นภาระหน้าที่ต้องตรวจตราดูแลไม่ให้เกิดขึ้น ถ้าเงินไม่พอสำหรับทำโครงการให้ความรู้ ก็อาจคิดเก็บภาษีเพิ่มจากสินค้าต้นเหตุ เช่น ขนมและนมที่หวานเกินขนาด พลาสติก โฟม ยาเคมีต่างๆ ในการเกษตร ผู้ผลิตที่ไม่อยากเสียภาษีเพิ่มก็คงจะผลิตสินค้าคุณภาพที่ต้องประสงค์มากขึ้น ตอนนี้ผู้ที่พยายามดูแลสุขภาพต้องเสาะแสวงหาความรู้ และหาอาหารปลอดภัยเอาเอง จนดูเหมือนเป็นคนอยู่ยากกินยาก ส่วนอีกบางคนไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่คิด ได้ใช้เงินเพื่อทำลายสุขภาพตนลงไปเรื่อยๆ การซ่อมสุขภาพแม้จะฟรีก็ไม่คุ้มกับการเจ็บตัว จิตตก และความลำบากของญาติพี่น้องในยามต้องดูแลคนป่วย สิทธิพื้นฐานอันหนึ่งของประชาชนควรเป็นสิทธิในการได้กินได้อยู่อย่างปลอดภัย คนไทยควรได้บริโภคทุกอย่างที่ได้คุณภาพ ซึ่งเราทำได้ แต่เราผลิตแล้วเราส่งออกเกือบหมด ไม่เก็บไว้บริโภคกันเองในประเทศ Health Literacy คืองาน promotion & prevention ในตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการป้องกันไม่ให้คนจำนวนหนึ่งใช้เงินซื้ออาหารที่กินแล้วทำร้ายตนเอง ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว